หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อของ ‘ วิเวียน เวสต์วูด ‘ ผู้โด่งดังก้องโลกในฐานะเจ้าแม่แฟชั่นพังค์ผู้สุดจะแหกคอกตั้งแต่ด้านงานดีไซน์ไปยันทัศนคติการใช้ชีวิตและการเป็นแอ็กติวิสต์ตัวเจ็บ และตอนนี้เขากำลังจะมีหนังเรื่องแรกที่จะบอกเล่าการต่อสู้ทุกด้านอย่างแท้จริงของหนึ่งในไอค่อนผู้ทรงอิทธิพลแห่งยุคสมัยคนนี้กับเรื่อง Westwood : Punk, Icon, Activist
Westwood : Punk, Icon, Activist จะทำให้เราได้เห็นว่า กว่าที่คนคนหนึ่ง ซึ่งแทบพูดได้ว่าไม่มีแต้มต่อใด ๆ ในจุดเริ่มต้น จะไต่เต้าขึ้นตามหนทางอันลาดชันไปสู่ยอดเขาแห่งความสำเร็จนั้น ต้องพบผ่านอะไรมาบ้าง ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนสัญชาตญาณทางศิลปะที่ไม่เหมือนใครให้กลายเป็นผลงานกระแทกใจคนค่อนโลกได้อย่างไร ทำไมใครๆ จึงบอกว่าเธอเป็นหมุดหมายสำคัญทางวัฒนธรรม เรี่ยวแรงแบบไหนที่ผลักดันให้เธอไม่ยอมหยุดตัวเองไว้แค่นั้น หากยังกล้าลุกขึ้นท้าทายกระแสอื้อฉาวทางสังคมด้วยกิจกรรมต่อสู้มากมาย และจริงไหมที่ความสำเร็จที่คนเราได้มาย่อมหมายถึงความสุขสบายไปชั่วกัลปาวสาน (ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วทำไมเรายังได้ยินเธอสบถบ่นเบื่อหน่ายหลายครั้งแบบไม่เกรงใจกล้อง?)
ทั้งหมดนี้ถูกบอกเล่าผ่านฟุตเตจและภาพนิ่งเก่าหาดูยาก (ตั้งแต่เรื่องราวของเวสต์วูดในฐานะเด็กสาวชาวเหนือผู้เดินทางมาแสวงโชคในลอนดอนตอนวัย 17 โดยมีบรรยากาศยุค 60 เป็นฉากหลัง ความขบถที่ผลักดันให้เธอกลายเป็นคนจุดกระแสพังค์จนดังเปรี้ยง การเผชิญความรวดร้าวในความสัมพันธ์ และการงานที่ล้มเหลวแทบเอาตัวไม่รอด ก่อนกรุยทางสร้างอาณาจักรแฟชั่นของตนเองที่กลายมาเป็นปรากฏการณ์) ผสมผสานกับฟุตเตจถ่ายใหม่ที่เราจะได้ยินเรื่องราวซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน ทั้งจากครอบครัว มิตรสหาย เพื่อนร่วมงานวงใน และแน่นอน…จากปาก (ร้ายๆ) ของวิเวียน เวสต์วูดเอง
ก่อนกลายเป็น Westwood
ย้อนไปเมื่อปี 2008 วิเวียน เวสต์วูดขอให้สองศิลปิน จอช ฮอมม์ แห่งวง Queens of the Stone Age กับ Unkle มาช่วยทำเพลงแร็พที่เธอแต่งให้องค์กรสิทธิมนุษยชน Liberty อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ลอร์นา ทัคเกอร์ เริ่มอาชีพในฐานะผู้กำกับด้วยการถ่ายวิดีโอทัวร์คอนเสิร์ตให้วงร็อคและถ่ายโปรโมให้สินค้า เธอได้รับการเชื้อเชิญให้มาถ่ายเบื้องหลังการทำเพลงแร็พดังกล่าว และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างเธอกับเวสต์วูด
ทัคเกอร์ใช้เวลาหลายปีต่อมากับการถ่ายสารคดีว่าด้วยผู้หญิงในเขตสงวนของชนพื้นเมืองอเมริกัน ซึ่งเป็นประเด็นที่เวสต์วูดสนใจมากและคอยติดตามถามไถ่ความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ต่อมาในปี 2013 ทัคเกอร์ทำหนังเรื่อง Red Shoes ให้โครงการ Climate Revolution ตามด้วยหนังสั้นของโครงการ Vivienne Westwood Dazed Takeover ของเวสต์วูด ตอนนั้นเองที่เธอตัดสินใจเสนอโครงการสารคดีขนาดยาวเกี่ยวกับตัวเวสต์วูดโดยตรง ซึ่งกลายมาเป็น Westwood : Punk, Icon, Activist ในที่สุด
“ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี เราติดตามถ่ายชีวิตหลากหลายแง่มุมของวิเวียน” ลอร์นา ทัคเกอร์ เล่า “เราใช้เวลาคลุกคลีกับเธอที่วงกลมอาร์กติกขณะเธอไปปฏิบัติภารกิจรณรงค์ให้กรีนพีซ เดือนเดียวกันนั้นเรายังไปซุ่มตัวอยู่กลางกองผ้ามหึมาเฝ้ามองคอลเล็กชั่นใหม่ของเธอค่อยๆ ก่อกำเนิดขึ้นจากกระดาษจนถึงโชว์บนเวที เราตามวิเวียนตอนเดินสายไปทำแคมเปญต่อต้านการขุดเจาะน้ำมัน พร้อมๆ กับที่เราก็ไปเป็นประจักษ์พยานในงานเปิดร้านสาขาใหม่ของเธอทั้งที่ปารีสและนิวยอร์ก
“สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดเกี่ยวกับวิเวียน ก็คือการที่เธอพร้อมเสมอสำหรับการลุกขึ้นยืนและเปล่งเสียงอย่างไม่เกรงกลัวอะไร ซึ่งนี่สะท้อนให้เห็นทั้งในงานแฟชั่นและกิจกรรมทางสังคมของเธอ ไม่ว่าจะยามนั่งทำงานตามลำพังดึกดื่นในโชว์รูมหรือตอนร่วมเดินขบวนรณรงค์ปัญหาโลกร้อนที่เวสต์มินสเตอร์ เธอก็เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทจิตใจไม่ประนีประนอม ความเป็นขบถอย่างถึงที่สุดและแนวคิดต่อต้านอำนาจกระแสหลักคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังทุกๆ อย่างที่เธอทำ นั่นส่งผลให้ความสนใจ, ไอเดีย และหลักการของเธอมักผิดแผกไปจากความคาดหวังที่คนทั่วไปมีต่อ ‘แฟชั่นไอค่อน’ และก็เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง เราจึงรู้ตั้งแต่ต้นว่า หนังเรื่องนี้จะไม่ใช่ ‘หนังแฟชั่น แบบที่คุ้นเคยกันแน่นอน
“สิ่งที่เราสนใจ ไม่ใช่ ‘แฟชั่น’ ของวิเวียน เวสต์วูด แต่คือ ‘ตัวตน’ ของเธอ เราอยากสำรวจจุดกำเนิด การกระทำ และการปฏิวัติทางวัฒนธรรมของเธอ วิเวียนไม่ได้เป็นเพียงศิลปิน, แฟชั่นดีไซเนอร์ และแอ็กติวิสต์ แต่เธอยังเป็นผู้นำของแบรนด์ระดับโลก, เป็นนักธุรกิจหญิงผู้ทรงอิทธิพล และเป็นหนึ่งในนักคิดสร้างสรรค์แห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งเกี่ยวข้องกับจุดเปลี่ยนสำคัญหลายช่วงในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมด้วย
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเชื่อว่า ไม่น่าจะมีใครอีกแล้วที่ควรเล่าเรื่องราวของเธอมากเท่าตัวเธอเอง และสิ่งที่มาจากปากของเธอ ผู้หญิงผู้กรุยทางสร้างตนขึ้นสู่สถานะพิเศษด้วยความมุ่งมั่นอันไม่ธรรมดา ก็เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจอย่างเหลือล้น” เพราะนี่คือเรื่องของเธอ วิเวียน เวสต์วูด – ผู้บอกกล่าวแก่โลกเสมอว่า “ใช้ชีวิตซะ! อย่ายอมแพ้!”