ในปัจจุบันพบว่ามีหนุ่มๆ สาวๆ หลายคน มักจะประสบพบเจอกับปัญหา ผิวขาดน้ำ ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้าหรือผิวกายก็ตาม และมีหลากหลายคำถามเกิดขึ้นก็คือ แม้ว่าเราจะดูแลผิวดีแค่ไหน ทาครีมชะโลมมากแค่ไหน แต่ทำไมผิวของเราก็ยังคงขาดน้ำอยู่ดี สาเหตุหลักๆของการที่ผิวขาดน้ำก็คือ ผิวลอกเป็นขุยจากความผิดปกติของผิวหนังเอง ชั้นหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอกสุด) หมุนเวียนเร็วกว่าปกติ หรือมีการทำลายชั้นผิวหนังกำพร้าจากสารเคมี ซึ่งสาเหตุต่างๆเหล่านี้เป็นผลทำให้ผิวหนังของเราขาดน้ำนั่นเอง
ซึ่งวิธีการดูแลและแก้ไขปัญหา ผิวหนังขาดน้ำ ก็มีอยู่ด้วยกันหลากหลายวิธีแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นผลดีที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเราเอง มาดูกันดีกว่าค่ะว่ามีอะไรที่ควรทำหรือไม่ควรทำกันบ้าง
10 นิสัย หรือ อาการสัญญาณเตือนที่เป็นสาเหตุว่าตัวเองเริ่มมีอาการผิวหนังขาดน้ำเกิดขึ้นแล้วประกอบด้วย
1.ดื่มน้ำน้อยเกินไป
ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 70 % เพราะฉะนั้นน้ำจึงสำคัญมาก และเพื่อให้ได้ผลดียิ่งขึ้นการดื่มน้ำควรจะค่อยๆดื่ม จิบๆ ระหว่างวัน และควรจะเป็นน้ำที่อุณหภูมิห้องมากกว่าน้ำเย็น
2.อยู่ในห้องแอร์เป็นส่วนใหญ่
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเราทุกคนอยู่ในห้องแอร์กันบ่อยมากๆ ไหนจะที่ออฟฟิสก็มีแอร์ ขึ้นBTS เดินห้าง กลับมาบ้านก็เจอแอร์ และด้วยอากาศบ้านเมืองเราร้อนเบอร์นี้ด้วยแล้ว แอร์เป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตเลยล่ะ แต่ยังไงก็ตามขอแนะนำให้สาวๆ หนุ่มๆ ทั้งหลาย หาเวลาออกไปเดินเล่นรับอากาศจากธรรมชาติอย่างสวนสาธารณะแทนการอยู่ในห้องแอร์กันบ้าง นอกจากเรื่องผิวหนังแล้วยังช่วยเรื่องระบบทางเดินหายใจได้อีกด้วยนะ
3.ชอบอาบน้ำอุ่นเป็นประจำ
หลายคนอาบน้ำอุ่นจนติดเป็นนิสัย ไม่ว่าจะร้อน หนาว ฝน ขอแค่มีน้ำอุ่นเท่านั้นพอ แต่การอาบน้ำเย็นบ้างก็จะช่วยให้ผิวหนังได้ตื่นตัวขึ้น ถ้าวันไหนร้อนๆ ลองหันมาอาบน้ำเย็นกันดูบ้างจะดีกว่านะ
4.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวเป็นประจำ
(ซึ่งมักพบใน ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยทำให้ผิวขาว)
การทาครีมช่วยให้ผิวขาวขึ้น สุขภาพดีขึ้นจริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องใช้เวลาเพื่อให้ผิวของเราได้ผลัดเซลล์ เพราะฉะนั้นครีมจำพวกขาวได้ภายใน 3 วัน 7 วัน ที่ไปเร่งการผลัดเซลล์ผิวอาจจะเป็นอันตรายต่อผิวเราได้
5.หลังจากล้างหน้าแล้วไม่รีบทา moisturizer ทันที
การทา moisturizer ก็เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มให้ผิวเรามีความชุ่มชื้น เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าไม่สำคัญนะคะ
6.ไม่ค่อยใส่ใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นได้หรือเปล่า
ถ้าอยากให้ผิวอิ่มน้ำ ชุ่มชื่น เราก็ควรจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน ไม่อย่างนั้นความต้องการที่จะให้ผิวดีขึ้น อาจแย่ลงก็ได้
7.ทาครีมบำรุงแล้วยังรู้สึกว่าผิวสาก กร้าน (อาจมีขุยหรือไม่มีขุย) แต่ก็ยังมีน้ำมันออกมาเคลือบผิว
ไม่จำเป็นว่าทุกผลิตภัณฑ์จะเหมาะกับผิวของเรา เพราะฉะนั้นเลือกหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับตัวเอง และถ้าหากเกิดอาการแพ้ให้หยุดใช้ และไปพบแพทย์ทันที
8.ไม่ค่อยชอบทาครีมกันแดดหรือชอบลืมทาครีมกันแดด
ครีมกันแดดเป็นไอเทมที่สำคัญมากต่อทั้งผิวหน้าและผิวกายเพราะรังสี UV จากแสงแดดนั้น เป็นสิ่งที่ทำอันตรายต่อผิวของเราได้อย่างดีที่สุด เพราะฉะนั้นการปกป้องผิวจากแสงแดดจึงถือว่าสำคัญมาก
9.ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีฤทธิ์ในการชะล้างรุนแรง
ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ในการชะล้างที่รุนแรงไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป ตราบใดที่ผลิตภัณฑ์นั้นไม่เข้ากับสภาพผิวของผู้ใช้
10.อายุมากกว่า 25 ปีขึ่นไป
ข้อนี้คงจะบังคับยากหน่อยนะคะ เพราะยิ่งอายุมากขึ้น สภาพผิวของเราก็จะดูแลได้ยากมากขึ้น เพราะฉะนั้นรีบดูแลรักษาสภาพผิวก่อนที่มันจะสายเกินไปนะคะ
โดยเราสามารถสังเกตผิวหนังตัวเองได้ง่ายๆว่า ตอนนี้ผิวหนังของเรากำลังขาดน้ำอยู่หรือเปล่า ดังนี้
- สังเกตดูผิวหนังภายนอกเหมือนมีน้ำมันออกมาเคลือบ
- เมื่อดูผิวหนังใกล้ ๆ จะเห็นเป็นริ้ว ๆ หรือกร้าน ๆ (ลองนึกภาพเวลาที่เราอยู่ใกล้ความร้อนนาน ๆ เช่น เวลาอยู่หน้าเตาตอนทำกับข้าว)
- ลูบผิวดูแล้วจะรู้สึกว่าผิวไม่นุ่มเนียน ไม่เรียบ ถ้าเป็นมากอาจจะรู้สึกว่าผิวสาก ๆ
- อาการจะเป็นมากประมาณสาย ๆ หรือช่วงบ่าย ๆ ของวัน พอซับมันแล้วเติมแป้งจะไม่เรียบเนียนเหมือนแต่งตอนเช้า
และถ้าใครยังคงสงสัยว่าผิวขาดน้ำเนี่ยมันเกี่ยวกับผิวมันอย่างไรนั้น เมื่อผิวขาดน้ำก็เสมือนว่าผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวจะพยายามผลิตน้ำมันออกมาเพื่อชดเชยความชุ่มชื้นที่เสียไป (ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ) จึงทำให้ผิวมีความมันมากกว่าปกติ ทั้งๆที่อาการขาดน้ำยังไม่ได้รับการแก้ไข หากปล่อยไว้นานจะทำให้ผิวหนังสูญเสียการทำงาน ขาดความกระชับ ยืดหยุ่น และนำไปสู่ผิวอ่อนแอในที่สุดได้
มาต่อกันที่การดูแลรักษาสภาวะผิวหนังขาดน้ำหรือสูญเสียน้ำกันบ้างดีกว่าเพื่อเป็นแนวทางให้ใครหลายๆคนไปลองปฎิบัติตามกัน อาการแรกที่พบ คือ ผิวจะมีลักษณะหยาบ อาการต่อมา คือ เริ่มเป็นขุย และเกิดอาการผิวแตก เมื่อขาดน้ำมากที่สุด ผิวหนังจะดูสวยงามและไม่เกิดโรคถ้าหมั่นรักษาสมดุลของน้ำในผิวหนังกับสภาพแวดล้อมได้ ดังนั้นปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการดูแลป้องกันและรักษาผิวหนังมีอยู่ 4 ประการ คือ
- เรื่องของสภาวะแวดล้อมรอบตัวเราที่มีอิทธิพลต่อการเกิดผิวแห้งอย่างมาก อย่างที่กล่าวไปว่าการอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานานทำให้ผิวหนังแห้งและสูญเสียน้ำในที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ ลองหาเวลาให้ผิวได้ไปสัมผัสอากาศธรรมชาติดูบ้าง
- ลักษณะผิวหนังของแต่ละบุคคลว่าแห้งมากน้อยแค่ไหน ขึ้นกับพันธุกรรมของแต่ละคนว่าลักษณะของผิวเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นการดูแลเบื้องต้นควรจะขึ้นกับสภาพผิวพื้นฐานของเราด้วย
- เรื่องของอายุ เมื่ออายุย่างเข้าวัยทองต่อมไขมันและเซลล์ผิวหนังจะสร้างสารไขมันลดลง ทำให้เกิดลักษณะผิวแห้ง จึงจำเป็นต้องใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เคลือบผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้ดียิ่งขึ้น
- พฤติกรรมและการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคล บุคคลใดที่ชอบล้างมือบ่อย ๆ ฟอกตัวด้วยสบู่ที่เป็นด่างนาน หรือออกแดดเป็นประจำหรือทำงานอยู่กลางแจ้ง เรื่องของผิวหนังนั้นแนะนำให้ดูแลรักษาตนเองให้ดี หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ดูแลรักษาผิวพรรณ ดูแลไม่ให้ผิวไปกระทบกับสารหรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ เช่น แสงแดด สารพิษต่าง ๆ รักษาธรรมชาติ เพราะธรรมชาติดี ผิวหนังของเราก็จะดีตามไปด้วย
ใครที่กำลังสงสัยว่าตัวเองกำลังจะมีปัญหา ผิวขาดน้ำ หรือ ผิวแห้ง อยู่หรือเปล่า ก็ลองมาเช็กดูกันได้เลยว่ามีพฤติกรรมอะไรที่เสี่ยงต่อการที่ทำให้ผิวเราขาดน้ำหรือไม่ และจะมีวิธีการป้องกันได้อย่างไรบ้าง เพื่อที่เราจะได้แก้ไขให้ผิวเรามีสุขภาพดีขึ้นก่อนที่มันจะสายเกินไป
ขอบคุณบทความจากสมาคมแพทย์
ผิวหนังแห่งประเทศไทย