สาวๆบางคนที่มีอาการหน้ามืด เวียนหัว ได้กลิ่นอาหารอะไรก็รู้สึกเหม็นอยากจะอาเจียนให้ได้ แน่นอนว่าสิ่งแรกที่หลายคนต้องสงสัยคงหนีไม่พ้นเรื่องของการตั้งครรภ์ อย่างที่สาวๆทราบกันดีว่าอาการคนท้องในระยะแรกของแต่ละคนนั้นจะไม่เหมือนกัน บางคนก็มีอาการมากจนกระทบการใช้ชีวิตประจำวัน บางคนก็มีอาการน้อย หรือบางคนช่วงแรกอาจจะไม่มีอาการอะไรเลย ดังนั้นเพื่อให้คลี่คลายปัญหานี้ ทาง The Passion ได้รวบรวมวิธีการตรวจครรภ์มาให้สาวๆได้ตรวจกันไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ทีนี่ก็จะได้หายกังวลใจและเตรียมรับข่าวดีกันไปล่วงหน้าได้เลย!

สำหรับสาวๆคนไหนที่กำลังสงสัยว่าตัวเองเข้าข่ายเป็นคุณแม่มือใหม่อยู่นั่น สิ่งแรกที่เรานึกถึงก็คือ ชุดตรวจการตั้งภรรภ์นั่นเอง แน่นอนว่าวิธีตรวจการตั้งครรภ์ที่ง่ายและรู้ผลไวที่สุดก็คือ การตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง สำหรับชุดการตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตัวเองก็คือ ชุดการทดสอบหาฮอร์โมน HCG หรือ Human chorionic gonadotropin ในปัสสาวะ ซึ่งหากสาวๆตั้งครรภ์ ฮอร์โมนตัวนี้ก็จะหลั่งออกมาจากรก โดยจะเริ่มผลิตหลังจากที่มีการปฏิสนธิไปแล้ว 6 วัน และขึ้นสูงสุดในช่วง 8 – 12 สัปดาห์ โดยชุดการตรวจการตั้งครรภ์นี้สามารถตรวจได้ในผู้ที่ประจำเดือนขาดตั้งแต่วันที่ 10 – 14 ขึ้นไป เรียกได้ว่ามีความแม่นยำสูงถึง 90% เลยทีเดียว สำหรับชุดตรวจการตั้งครรภ์จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ชุด

1. แบบแถบจุ่ม (Test Strip)

ประกอบไปด้วยแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์หรือที่เรียกแผ่นตรวจครรภ์และถ้วยตวงปัสสาวะ ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีถ้วยตวงนี้มาให้ก็ได้ โดยชุดการทดสอบแบบแถบจุ่มนี้มีข้อดีคือ ใช้งานง่ายและราคาถูก ประมาณ 100-400 บาทเท่านั้น วิธีการทดสอบก็คือ

  • ให้เก็บปัสสวะลงในถ้วย จากนั้นนำแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์ด้านที่มีลูกศรชี้ลง จุ่มลงในถ้วยปัสสาวะที่เตรียมไว้ โดยจุ่มกระดาษลงในถ้วยปัสสาวะเพียง 3 วินาทีเท่านั้น โดยระวังอย่าให้น้ำปัสสาวะเลยขีดที่กำหนดไว้ในแผ่นทดสอบ เพราะจำทำให้แผ่นกระดาษไม่มีประสิทธิภาพในการทดสอบ
  • เมื่อจุ่มเสร็จแล้วให้นำแผ่นทดสอบออกจากถ้วยปัสสาวะ ถือไว้สักครู่หรือวางไว้ในแนวนอน ที่สำคัญคือต้องวางไว้ในที่ที่แห้งสนิทเท่านั้น
  • รออ่านผลการทดสอบ เพื่อให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพควรใช้เวลารอประมาณ 5 นาที

2. แบบที่ 2 แบบตลับหรือแบบหยด (Pregnancy Test Cassette)

ชุดการทดสอบนี้จะประกอบไปด้วย ตลับทดสอบการตั้งครรภ์ ถ้วยตวงปัสสาวะและหลอดหยดสำหรับดูดน้ำปัสสาวะ ซึ่งข้อดีของวิธีการตรวจแบบนี้ก็คือ ลดความเสี่ยงของแผ่นทดสอบที่จะเสื่อมสภาพได้ อีกทั้งราคาไม่แพง ประมาณ 140-180 บาท สำหรับวิธีการทดสอบคือ

  • ขั้นตอนแรก ให้เก็บปัสสาวะลงในถ้วยตวง แล้วนำหลอดหยดดูดน้ำปัสสาวะที่ได้ในปริมาณที่พอเหมาะ
  • จากนั้นให้หยดน้ำปัสสาวะลงบนตลับที่วางไว้กับพื้นประมาณ 3-4 หยดเท่านั้น ไม่ควรมากไปกว่านี้
  • วางชุดการทดสอบทิ้งไว้แล้วรอผลการทดสอบประมาณ 5 นาที

3. แบบที่ 3 แบบปัสสาวะผ่าน (Pregnancy Midstream Tests)

ชุดตรวจครรภ์แบบนี้ อุปกรณ์การตรวจมีเพียงแค่แท่งทดสอบการตั้งครรภ์เท่านั้น ข้อดีคือ ใช้งานได้สะดวกเพราะไม่ต้องเก็บน้ำปัสสาวะในถ้วย แต่ราคาจะสูงกว่า 2 แบบแรก โดยราคาอยู่ที่ 180 – 200 บาท วิธีการทดสอบคือ

  • ถอดฝาครอบออกพร้อมกับถือแท่งทดสอบ โดยให้หัวลูกศรชี้ลง แล้วปัสสาวะผ่านบริเวณที่ดูดซับน้ำปัสสาวะ โดยต้องเปียกชุ่ม ซึ่งบริเวณนี้จะอยู่ต่ำกว่าลูกศร
  • ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที โดยถือแท่งตรวจไว้หรือวางแนวราบในที่ที่แห้งสนิทเท่านั้น
  • สามารถอ่านผลการทดสอบได้ตั้งแต่ 30 วินาทีแรกเป็นต้นไป แต่ทางที่ดีควรรออ่านหลังจากทดสอบประมาณ 5 นาทีเพื่อความชัวน์เช่นเดียวกับชุดการทดสอบอื่นๆ

 

สำหรับการอ่านวิธีการอ่านผลการทดสอบด้วยตัวเองนั้น ปกติที่กล่องจะมีวิธีแนะนำให้อย่างละเอียดอยู่แล้ว แต่วันนี้เพื่อให้สาวๆได้รู้ไว้ก่อน เพราะช่วงที่ตรวจนั้นอาจจะตื่นเต้นจนอ่านผิดอ่านถูกก็เป็นได้ และอย่างที่ได้บอกสาวๆไป ผลการทดสอบจะได้ผลดี ส่วนมากควรจะรอผลตรวจประมาณ 5 นาที สาเหตุคือ หากเราอ่านในช่วงแรกทันทีที่ตรวจ ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่มีประสิทธิภาพ เรียกง่ายๆว่าผลลัพธ์ไม่ตรงตามความเป็นจริงนั่นเอง

culturacolectiva.com

ในการอ่านผลนั้น สิ่งที่สาวๆควรจะต้องรู้ คือ ขีดทั้งสองที่จะปรากฏให้เราเห็นนั่นเอง โดยขีดแรกคือ ขีด C หรือ Control Line ส่วนอีกขีดก็คือขีด T หรือ Test Line ซึ่งผลการทดสอบจะออกมามีเพียงแค่ 3 รูปแบบเท่านั้น ได้แก่

1. หากตรวจแล้วขึ้นแค่ 1 ขีด โดยขึ้นที่ขีด C ขีดเดียว คือ ได้ผลลบ แปลว่า “ไม่น่าจะตั้งครรภ์” แต่อย่าเพิ่งแน่ใจไปนะคะ ผลลัพธ์ที่ได้แบบนี้ จริงๆแล้วหมายถึง คุณไม่ได้ตั้งครรภ์ หรือตั้งครรภ์แล้วตรวจไม่พบ ทางที่ดีเพื่อความแน่ใจ ควรตรวจซ้ำอีกภายใน 2-3 วันจะดีกว่าค่ะ

2. ถ้าตรวจแล้วขึ้น 2 ขีดหรือขึ้น 2 ขีด จางๆ ขึ้นที่ขีด C และ T  ก็คือ ได้ผลบวก แปลว่า “น่าจะมีการตั้งครรภ์” แต่ถ้าขึ้นที่ขีด T จางๆ สาวๆสามารถตรวจซ้ำได้ในอีก 2-3 วันเช่นกันค่ะ

3. หากตรวจแล้วไม่ขึ้นขีดอะไรเลยหรือขึ้นแค่ 1 ขีดตรงตัว T คือ “อ่านค่าไม่ได้” นั่นอาจหมายถึง ชุดการทดสอบเสียหรือขั้นตอนการตรวจไม่ถูกต้อง สืบเนื่องมาจากการเก็บไม่ถูกวิธีหรือการใช้ปัสสาวะเก่า เป็นต้น หากได้ผลแบบนี้แนะนำให้สาวๆตรวจซ้ำได้เลยค่ะ

การตรวจการตั้งครรภ์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงการทดสอบด้วยตัวเองเบื้องต้นเท่านั้น แต่ถ้าสาวๆอยากมั่นใจจริงๆว่าตัวเองตั้งครรภ์หรือไม่ แนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลและปรึกษาคุณหมอดีกว่าค่ะ บางทีอาการดังกล่าวที่เราเป็นอาจจะไม่ได้มาจากการตั้งครรภ์ แต่มีสาเหตุมาจากโรคประจำตัวหรืออาการเจ็บป่วยอื่นๆก็ได้ ดังนั้นเพื่อความแน่ใจ การเข้าพบผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณหมอจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หรือหากเราตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ จะได้ขอคำปรึกษาเพื่อดำเนินตามขั้นตอนต่อไปอย่างเช่น การฝากครรภ์ได้ทันที โดยที่ไม่ต้องมานั่งรอลุ้นให้ใจเต้นกันเล่นๆอย่างไรล่ะคะ