หลายคนคงสะดุดกับคำว่า “โรค คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ” เพราะเราชอบคิดกันอยู่บ่อยๆ ว่าเราไม่เก่ง ทำอะไรก็ไม่ดี ไม่คู่ควรกับสิ่งนี้ เรายังไม่เก่งขนาดนั้น ที่ประสบความสำเร็จคือฟลุ๊ค เพราะดวงมันมา อะไรประมาณนี้ถูกมั้ย? ซึ่งเป็นปกติแหละที่ทุกคนจะมีคิดบ้าง  แต่ถ้ามากจนกลายเป็นอาการที่รู้สึกว่าตัวเองด้อยประสิทธิภาพ หรือรู้สึกไม่คู่ควรกับความสำเร็จจนเกินควร นั่นก็อาจเข้าสู่โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง หรือ Imposter Syndrome

แต่ช้าก่อน! วงการแพทย์เขายังไม่นับว่าเป็นโรคทางจิตเวชอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าความคิดแบบนี้มีมากเกินไป กล่อมความคิดลบๆ ต่อตัวเราอยู่เรื่อยๆ มันจะส่งผลต่อสภาพจิตใจ เป็ชนวนโรคซึมเศร้าให้กับตัวเองได้ในอนาคตเชียวล่ะ การใช้ชีวิตพัง การเรียน การทำงานพังหมด ฉะนั้นสาวๆ The Passion ทั้งที เราต้องอย่าให้โรคนี้มาครอบงำเราได้ล่ะ ไปดูวิธีรักษาอาการโรค คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ให้ห่างไกลโรค ห่างไกลยาเสพติด เอ้ย! ห่างไกลความคิดบ้าๆ นี้กันเถอะ

 

บันทึก Diary สิ่งที่ได้ทำลงไป

การจดบันทึกเป็นการย้ำตัวเองว่าวันนี้เราได้ทำอะไรบ้าง และย้ำเราในอนาคตว่าเราเคยประสบความสำเร็จนู่นนี่นั่น ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าภูมิใจมากแต่พอเวลาผ่านไปเรากลับลืมมันไง แล้วพอเราอยู่ในช่วงกราฟขาลงของชีวิต ทุกอย่างมันมืดมัว กล่อมให้เราดาวน์คิดว่าตัวเองด้อยค่า ทำอะไรก็ไม่ดี เราทำอะไรไม่ได้เรื่อง เพราะฉะนั้น สมุดไดอารี่อันนี้แหละที่จะมาดึงความมั่นใจเรากลับมา ให้กำลังใจตัวเอง เป็นการทบทวนตัวเองด้วยว่าเราควรปรับปรุงตรงไหน ทำอะไรได้ดี ย้ำเตือนตัวเองว่า เราเนี่ยแหละเคยทำอันนี้ได้นะ! เราทำได้!

 

อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

คิดว่าตัวเองไม่เก่ง

แต่ละคนมีดี ไม่ดีแตกต่างกันอยู่แล้ว สิ่งที่คนอื่นทำได้ดี จริงๆ แล้วเขาอาจทำในสิ่งที่เราถนัดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ฉะนั้นเราไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร สิ่งที่ดีสำหรับคนหนึ่งอาจไม่จำเป็นต้องใช่สำหรับเรา เราอาจมีคนที่เป็นไอดอล เปรียบเทียบอยู่บ้าง แต่เราต้องไม่ลืมว่าแท้จริงแล้วความต้องการและคุณภาพของตัวเองเป็นไปในทางไหน เราไม่สามารถเหมือนเขาได้หมด มัวแต่เปรียบเทียบ เราก็ทำให้ตัวเองดาวน์ การทำงานเราก็แย่ลง มีแต่จะย่ำแย่นะ

 

ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้

อย่าคิดว่าไม่สามารถเปลี่ยนแผนที่เราวางไว้ได้ เพราะมันจะกลายเป็นการทรมานตัวเอง บีบตัวเองให้ฝืนทำอะไรที่ผิดๆ แค่เราฝืน การทำงานก็ไม่เต็มที่ ผลออกมายังไงมันก็ไม่เวิร์คอยู่ดี ดังนั้นเมื่อรู้สึกว่าแผนที่วางไว้หรือที่กำลังดำเนินการอยู่ไม่สามารถถึงเป้าที่ต้องการได้ ก็กล้าตัดสินใจเปลี่ยนแปลงไปเลย

 

ถามหาคำติชม

เวลาจะเริ่มงานหรืออะไรใหม่ๆ ใครล่ะจะไมรู้สึกกังวล กล้าๆ กลัวๆ มันต้องมีเป็นธรรมดา ดังนั้นแทนที่จะเก็บมาคิด มาเครียดคนเดียว ให้ลองถามคนใกล้ตัว คนที่ไว้วางใจว่าสิ่งที่เราเคยทำมาผลตอบรับมันเป็นยังไง ฟีดแบคดีไม่ดี ต้องแก้ไขอะไร อย่างไร การถามคำติชมจากคนอื่น จะทำให้เรามองตัวเองชัดขึ้น เนื่องจากบางทีเราทำอะไรไปแต่เราไม่รู้ตัวว่ามันดีมากๆ หรือไม่ดีบ้าง การหาความเห็นจากคนอื่นจึงช่วยสะท้อนตัวเราได้ดี แต่ต้องเลือกคนที่ไว้ใจได้นะ ว่าจะพูดความจริง และให้คำแนะนำเราได้ดี ไม่ได้เป็นคนที่พูดขวานผ่าซาก ทำเราฟีลแย่กว่าเดิม

อีกอย่างที่สำคัญเลยก็คือ เราได้รับคำชมมาเมื่อไหร่ เราต้องให้ความสำคัญของคำชมนั้น! คำชมต่างๆ มีค่ามากเลยนะ เวลาที่เจอความกดดันต่างๆ เราจะได้จดจำคำเหล่านั้นมาเป็นกำลังใจ เพิ่มพลังให้ตัวของเราเองได้ตลอด รู้ว่าเราน่ะเก่งแค่ไหน

 

พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงาน

การเปิดอกคุยกับเพื่อนในเรื่องงาน จะทำให้เห็นข้อบกพร่องของเขาที่ก็มีเหมือนกับเรา ความท้าทาย หรือกว่าที่เขาจะสำเร็จได้นั้นมันก็ไม่ง่าย ทำให้สามารถเข้าใจหัวอกเดียวกัน และรู้สึกว่าเราไม่ได้แย่อยู่คนเดียว จริงๆ แล้วคนอื่นก็เจออุปสรรค มีความวิตกกังวลเช่นเดียวกับเรานั่นแหละ แต่แค่เขาไม่ได้เปิดเผยมุมนั้นให้เราเห็นเท่านั้น เราเลยคิดว่าเราด้อยกว่าคนอื่น และการพูดคุยอาจทำให้เห็นลู่ทาง เห็นลู่ทางพัฒนาตัวเองได้อีกด้วย

 

คิดเอาไว้ว่าทุกคนสามารถผิดพลาดกันได้

‘ผิดเป็นครู’ ‘สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง’ ใครๆ ก็รู้ พอๆ กับที่รู้ว่าตัวเองก็เคยผิดพลาดมาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการทำผิดครั้งเดียวมันไม่จำเป็นต้อง Take it serious เลยสักนิด อย่าคิดว่าเป็นเรื่องหนักหนา มีข้อผิดพลาดก็ดีออก เราจะได้รู้ว่าเราควรปรับตัวเองจุดไหน The show must go on! เราก็แค่เก็บข้อผิดพลาดมาพัฒนาตัวเองก็จบ

 

ออกไปเที่ยวบ้าง

เพราะการไปเที่ยวคือ การได้ผ่อนคลาย ออกไปเจอสิ่งใหม่ๆ ทำให้โฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแทน หลีกจากการโฟกัสเรื่องเครียดๆ ได้ เมื่อเราผ่อนคลายแล้ว เราก็จะมีสติ สมาธิ สติมาปัญญาก็เกิด มีเวลาได้ทบทวนตัวเอง ปล่อยวาง หยุดจากความกดดันสักพัก มันก็อาจทำให้ความรู้สึกเราดีขึ้น และเราอาจจะมีไอเดียอะไรใหม่ๆ ด้วยก็ได้นะ

 

มันก็เป็นเรื่องธรรมดาแหละที่คนเราจะมีอารมณ์รู้สึกด้อยกว่าคนอื่นเวลาที่เราถูกรายล้อมแต่คนเก่งๆ การที่เราเติบโตขึ้นมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าผู้คนที่ทำงานหนัก มีโชคนิดหน่อย ออกจากพื้นที่ที่ตัวเองเคยชินบ้าง มันจึงมีเครียด มีกดดันบ้าง พวกเราแค่ทำสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งชีวิตมันก็แบบนี้แหละ