เมื่อความป่วยไม่อาจเยียวยาจากการรักษา แต่เยียวยาได้จากความรัก มาทำความรู้จักกับ ปิ่น-คณินณัฎฐ์ ตั้งสำเริงวงศ์ สาวสวยที่มีอาชีพหลักคือเป็นอีป่วย เจ้าของเพจอีป่วย และ เล่-ธนชัย ชวิตรานุรักษ์ ผู้คอยอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจเธอเสมอ มาดูกันว่าทั้งสองคอยเยียวยาอาการป่วยของปิ่นที่เกิดขึ้นกันยังไง และมุมมองความรักของทั้งคู่จะเป็นอย่างไร
#งานหลักเราคืออีป่วย
การเป็นผู้ป่วย SLE ตั้งแต่ ม.5
ปิ่น: จริง ๆ โรค SLE มันเป็นโรคที่ทำลายภูมิคุ้มกันของตัวเอง คือคนปกติเวลามีเชื้อโรคเข้ามา ภูมิคุ้มกันมันก็จะไปทำลายเชื้อโรคนั้นตรง ๆ แต่ว่าโรคนี้หรือที่เรียกว่า โรคพุ่มพวง ก็คือนอกจากจะทำลายเชื้อโรคนั้นแล้ว มันก็จะไปทำลายส่วนอื่น ๆ ด้วย อวัยวะต่าง ๆ คือเหมือนมันจำผิด ก็คือแล้วแต่เลยว่าจะโดนที่ระบบไหน แต่ละคนก็จะมีอาการไม่เหมือนกันเลย
ส่วนของพี่อาการก็จะมีไข้ต่ำ ๆ ปวดตัว มีเลือดออกง่าย เลือดออกตามไรฟันต่าง ๆ แล้วก็เริ่มเพลียปวดตัวลุกไม่ขึ้น แล้วก็ไปหาหมอ แต่ด้วยอาการที่มันกว้างมาก ๆ ตอนแรกไม่รู้เลยก็รักษาตามอาการไป ก็ตรวจไป 3 โรงพยาบาลนะกว่าจะรู้ผลว่าเป็นโรค SLE จริง ๆ ตอนนั้นอยู่ม.5 ด้วยอาการตอนนั้นคือไม่สามารถไปเรียนได้แล้ว ก็ต้องหยุดเรียนไปเลย
ช่วงแรก ๆ ก็รักษาด้วยกินกินสเตียรอยด์ ก็มีผลข้างเคียงคือทำให้เราบวม เป็นสิว ผมร่วง อ้วน มันทำให้เราเปลี่ยนไปไม่มั่นใจ มีอาการเป็นโรคซึมเศร้านิด ๆ ด้วย แต่ช่วงที่หยุดไปก็เป็นช่วงที่ได้อยู่กับตัวเอง ได้เข้าหาธรรมมะ ได้สวดมนต์ไหว้พระมากขึ้น แล้ววันนึงก็กลับไปเรียนใหม่ ก็เรียนเก่งขึ้น แล้วก็สอบเข้าได้ที่นิเทศจุฬา ช่วงระหว่างที่เรียนก็ยังป่วยอยู่นะ กินยา รักษาตลอด คือโรคนี้มันจะมีช่วงที่สงบคือเหมือนไม่มีอาการใด ๆ แต่ก็จะมีช่วงที่กำเริบบ้าง ก็เข้ารักษาตามอาการหลายรอบอยู่
ช่วงที่คิดว่าหนักที่สุด
ปิ่น: ตอนเรียนปี 4 ก็เริ่มมีอาการที่สะโพก คือเริ่มปวดสะโพก ลงน้ำหนักตอนเดินเต็มที่ไม่ได้ ก็คือมันเป็นผลข้างเคียงจากสเตียร์รอยที่เรากิน มันก็ทำให้เกิดอาการสะโพกตาย
ปี 4 ก็เลยถือไม้เท้าไปเรียน พอเรียนจบก็ตัดสินใจผ่าเปลี่ยนเป็นเซรามิค ผลที่ตามมาก็คือทำให้ขาไม่เท่ากัน 1 เซนติเมตร อาจมีปวดขาบ้างแหละ หลังจากนั้นก็ไปรับปริญญา ก็มีหวังว่าอยากจะทำงานใช้ชีวิตปกติทั่วไป แต่หลังจากนั้นโรคก็ยังไม่หยุด
พอรับปริญญาเสร็จก็เกิดอาการ SLE ลงไต ซึ่งรวดเร็วและรุนแรงมากกว่าคนเป็นโรคไตปกติ ภายในเวลาไม่ถึงปีเราก็ไตวายเฉียบพลันเลย ก็คือเราไปต่างจังหวัดแล้วมีอาการปวดหัว ความดันขึ้น 200 กว่า แล้วเราก็สลบไป 3 วัน เรารักษาอยู่ที่เชียงใหม่ ตอนนั้นพี่เล่อยู่กรุงเทพก็รีบบินไปหาที่เชียงใหม่
เล่: สภาพตอนนั้นเขาอยู่บนเตียง เขาสลบแต่เหมือนไม่ได้หลับไปเลย เหมือนตื่นแต่ตอบโต้ไม่ได้ ประมาณว่าเจ้าหญิงนิทรา อยู่แบบนั้น 3 วัน แล้วเขาก็ต้องฟอกไตในช่วงนั้น หมอก็บอกว่ายัง 50-50 ว่าจะรอดไม่รอด
ปิ่น: ใช่ ตอนตื่นก็คือรู้ตัวอีกทีก็โดนฟอกไตแล้ว ตอนตื่นมาก็สะลึมสะลือ อาการแย่สุด ๆ หลังจากนั้นก็ยังมีชักต่อ 2 รอบ ความดันมันมีผลต่อสมองเป็นอันตรายต่อชีวิตมาก โดยรอบแรกเรารอดมาได้ แต่ผลข้างเคียงก็คือตื่นมาแล้วมองภาพซ้อนกัน จนต้องตัดแว่นใส่อยู่ช่วงนึง
ส่วนรอบ 2 หมอก็บอกว่าอาจจะเป็นอัมพาตได้ สลบไป 2- 3 วัน ไม่ได้ถึงขั้นอัมพาต แต่ก็มีกล้ามเนื้ออ่อนแรงต้องทำกายภาพ 6 เดือน กว่าจะเดินได้ปกติ ต้องไปฟอกจันทร์ พุธ ศุกร์ ฟอกไตอาทิตย์ละ 3 ครั้งตลอด 4 ปี ชีวิตตอนนั้นมีแต่บ้านกับโรงพยาบาลตั้งแต่เรียนจบ พอช่วงปลายมีนาคมปีที่แล้วก็ได้ไปปลูกถ่ายไต เลยไม่ต้องไปฟอกไตแล้ว มีไตในร่างกาย 3 อัน (หัวเราะ) ก็พักฟื้นต่อ 6 เดือน กว่าจะแข็งแรงขึ้น
จากอาการป่วย SLE ทำไมถึงกลายมาเป็นเพจอีป่วย
ปิ่น: เพจนี้ตั้งได้ประมาณ 3 ปี หลังจากกลับมาจากเชียงใหม่ กลับมาฟอกไตใช้ชีวิตที่กรุงเทพ แล้วก็ได้อยู่กับตัวเองเยอะ มันมีทั้งช่วงที่เราผ่านจุดที่แย่ที่สุดมา ได้คุยกับตัวเองว่าทำไมต้องเป็นเรา ช่วงที่เราท้อ ไม่อยากสู้ต่อ รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระคนอื่น ไม่อยากอยู่
แต่มันจะมีจุดที่เราสู้กับความคิดตัวเอง กลับมาให้กำลังใจตัวเอง แล้วคำเหล่านั้นเราเก็บมันไว้ตลอด มีช่วงที่เราก็ฟอกไตปกติ แล้วอาการ SLE กำเริบอีก เราก็เลยตั้งเพจขึ้นมาหลัก ๆ ตอนนั้นอยากจะรายงานว่าตอนนี้เราเป็นยังไง เราบวม เรารับมือยังไง เราคิดยังไง ยังไม่ได้ตั้งใจที่จะมุ่งไปเป็นเรื่องให้กำลังใจ
แล้วหลังจากนั้นก็มีคนเห็นเยอะ แชร์เยอะ หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนป่วย ที่ป่วยเหมือนกัน เขามาให้กำลังใจกันหรือบรรยายอาการความรู้สึกของเขา เราก็รู้สึกว่าความคิดต่าง ๆ ที่เราได้ให้กำลังใจตัวเองให้สู้ต่อตอนนั้น เราเอามาแชร์ลงเพจดีกว่า ก็เป็นเพจที่ให้กำลังใจคนป่วยขึ้นมา เหมือนเป็นชุมชนที่คนป่วยได้มาแลกเปลี่ยนและให้กำลังใจกัน
เพจอีป่วยไม่ใช่เพจวิชาการให้ความรู้มากมาย ไม่ใช่เพจที่คนมาลงรูปคนเจ็บป่วยหรือน่ากลัว ๆ ตอนนี้มันกลายเป็นเพจที่มีแต่สิ่งดี ๆ ทุกคนให้กำลังใจกัน ทุกครั้งที่เราแชร์กำลังใจดี ๆ ไป เขาก็แชร์กำลังใจกลับมาให้เรา คือคนป่วยมักจะคิดว่าเขาป่วย อยู่ในโลกการป่วย เพจนี้เป็นเหมือนที่ที่เขาได้เปิดโลกกว้างเหมือนกัน เขาจะได้กำลังใจกลับไป เวลามีคนเข้ามาในเพจเราก็จะบอกประจำว่า สู้ ๆนะ สู้ ๆ ไปด้วยกัน ต้องเป็นสู้ ๆ ไปด้วยกัน เพราะว่า ทำให้เขาเห็นว่าเขาไม่ได้ป่วยอยู่คนเดียวในโลกนะ เราจะผ่านไปด้วยกัน ตอนนี้ก็มันก็ดี แล้วก็โอเคมาก
มีคนมาปรึกษาการป่วยเยอะไหม
ปิ่น: ในอินบอกซ์มีคนปรึกษาเราเรื่องโรคนี้เยอะมาก แต่เราก็ให้คำปรึกษาในส่วนที่เราเคยมีประสบการณ์เพราะแต่ละคนมีอาการไม่เหมือนกัน เราก็ให้คำปรึกษาได้ระดับนึงแต่สุดท้ายก็จะให้ไปปรึกษาหมอด้วย
#เรียนรู้และปรับตัว
ป่วยกระทันหันแบบนี้มีการปรับตัวเยอะไหม
ปิ่น: ปรับตัวตอนป่วย ตอนที่หมอเดินเข้ามาบอกว่าเป็น โรค SLE นะ เราก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร เขาบอกว่าคือโรคพุ่มพวงเราก็นึกออกเขาคือใคร เขาเสียไปแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไรอยู่ดี แล้วหมอก็บอกว่าคืออะไร มันรักษาไม่หายนะ ต้องกินยาและเปลี่ยนพฤติกรรม ห้ามโดนแดด ถ้าเลี่ยงได้ก็ดี ทั้งความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ อาหารดิบต่าง ๆ
แล้วตอนนั้นเราวัยรุ่น ม.5 อะ เราก็เป็นคนเล่นกีฬาทั่วไป แล้วเราจะอยู่ไหวเหรอ ตอนนั้นหมอก็บอกให้พกร่ม ทากันแดด ก็มีทำบ้างไม่ทำบ้าง หลัก ๆ คือเปลี่ยนจากที่เคยแก่นเฟี้ยวก็ต้องกลายมาเป็นคุณหนูไปเลย อย่างเราไปเปลี่ยนไตมา ก็ยังต้องมีการคุมอาหาร ห้ามเข้าชุมชนแออัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ เพราะภูมิเราต่ำ ซูชิแซลมอนของโปรดก็อดเลย มันก็จะต้องปรับตัวมาก
อีกอย่างคือปรับใจ คนป่วยทุกคน ถ้าจะให้ยอมรับอะ โคตรยาก ใครจะไปยอมรับว่าวันนึงเราป่วย เราทำไม่ได้ เราทิ้งอะไรหลาย ๆ อย่าง ทุกคนก้าวหน้าแต่เราอยู่ที่เดิม มันต้องใช้เวลา ทั้งในการเรียนรู้อยู่กับโรค และการปรับทำความเข้าใจกับตัวเอง เรียนรู้มันไปเรื่อย ๆ มันมีช่วงที่ท้อนะ ดาวน์มาก แต่มันต้องใช้เวลาแหละ และก็ยอมรับที่จะอยู่กับมัน
เคยมีน้อยใจตัวเองไหมที่เป็นอีป่วย
มีน้อยใจไหม มีนะ แบบว่าทำไมต้องเป็นเรา แต่สุดท้ายถ้าเราจะใช้ชีวิตต่อไปก็ต้องปรับที่ความคิดของเรา คือมันไม่มีใครช่วยเราได้ในส่วนนี้ นอกจากตัวเราอ่ะ เราอาจจะโชคดีที่คนรอบข้างคอยให้กำลังใจ คอยสอน มันดีที่มีกำลังใจจากคนรอบข้าง
#ฉันดีใจที่มีเธอ
เข้าเรื่องความรักกันบ้าง ทั้งสองเจอกันได้ยังไง
เล่: จุดเริ่มต้นคือ มีน้องคนหนึ่งเป็นเพื่อนปิ่นมาฝึกงานที่ออฟฟิศเรา เราก็แซวว่าเปิดรูปเพื่อน ๆ ให้ดูหน่อย ก็ไล่ไปทีละคนก็มาเจอปิ่น ก็คือว่าใช่ละ มันโดน (หัวเราะ) ก็มีการขอคอนแท็ค ขอเบอร์ แอด MSN แอดเฟซบุ๊ก ไป มีโทรด้วยนะแต่เขาบอกเขาไม่ใช่ปิ่น เหมือนเขาตกใจ (หัวเราะ)
ปิ่น: เราก็เราไม่รู้ไงงงงงง เราคิดว่าเขาแก่ เขาโตกว่า แต่เรารู้นะว่าเขาโทรมา เราก็ตั้งใจบอกไปว่าไม่ใช่ เรายังไม่ไว้ใจอะมันเร็วไป
เล่: แต่ตอนนั้นพี่ก็เข้าใจนะว่ามันเร็ว ก็เลยทักไปใน MSN ก็เลยนัดชวนไปไหนมาไหน แต่เขาก็ไม่มานะ (หัวเราะ)
ปิ่น: เขาชอบเอาแซลม่อนมาล่อ
เล่: วันเกิดเราเราก็นัดให้มาเจอ เขาก็ไม่มานะ
ปิ่น: ก็คุยกันก่อน คุยกันหลายเดือนกว่าจะยอมมาเจอ จนวันนึงเราไปเที่ยวแล้วก็คิดถึงเขานะ ตอนกลับมาเลยได้มาเจอกัน นัดเจอกันก็พาไปกินแซลมอน หลังจากนั้นเราก็คบกัน คลิกกันไวมาก
ตอนคบกันรู้ไหมว่าปิ่นป่วยเป็น SLE
เล่: ตอนนั้นก็เคย ๆ เสิร์ชดูบ้างว่ามันคืออะไร เพราะเคยเข้าไปดูในเฟซบุ๊กก่อนที่เขาจะบอก ก็เริ่มรู้ว่าคือโรคแพ้ภูมิตัวเองเป็นโรคพุ่มพวงอะไรประมาณนี้
ปิ่น: คือที่ไม่อยากบอกตอนแรก ๆ เพราะว่าอดีตเราเคยมีแฟน แล้วพอเขารู้ที่บ้านเขาไม่ยอมรับเรา เขาก็เลยเลิกกับเราไป ช่วงแรก ๆ เราก็เลยไม่กล้าบอก
เล่: คือเรารู้อยู่แล้วเราก็เลยไม่ตกใจ เรารู้ว่าเขาเป็นโรคพุ่มพวง มันไม่หาย แต่มันก็ต้องดีขึ้นแหละ ชีวิตมันก็ต้องดีขึ้นได้
ปิ่น: ตอนนั้นที่คบกันอยู่ปี 3 ก็ยังไม่ได้แสดงอาการมากเท่าไร จนปี 4 ที่เริ่มมีอาการหนักขึ้นมา เล่เขาก็พาเราไปหาหมอทุกเดือน คอยเตือนกินยา คอยนั่งลุ้นผลแลป จนเราต้องเปลี่ยนสะโพก เขาก็ไปนอนเฝ้าเราอยู่ที่โรงพยาบาลกับแม่เรา นอนพื้นด้วยนะ (หัวเราะ)
อะไรที่ทำให้เล่ยังอยู่ดูแลปิ่นไม่ทิ้งไปไหน
เล่: ไม่มีเหตุผลที่เราจะทิ้งไป เราอยากอยู่ อยากเป็นกำลังใจให้เขา ขนาดเขายังสู้เรายิ่งอยากอยู่ข้าง ๆ ให้กำลังใจเขา ทำไมไม่เลือกคนอื่น? เพราะเขาสวย (หัวเราะ) ถึงตอนโทรมก็ยังอยู่เหมือนเราเจอคนที่ใช่ไปแล้วอะ เราก็จะเลือกเขา
ความรู้สึกของปิ่นที่มีต่อเล่ในตอนนั้น
ปิ่น: ตอนนั้นคิดว่า คนนี้ก็เอาจริงเว้ย เขาก็ดี เกินความคาดหมาย เราคบกันแบบคนธรรมดาหนุ่มสาวทั่วไป จนวันนึงเราเปลี่ยนเป็นอีกคนที่ไม่ได้สวยอะไรเขาก็ยังอยู่กับเรา เราก็เริ่มรู้ว่าเขาไม่ได้รักเราที่ภายนอกแล้ว
แต่มันก็มีช่วงที่เราไม่อยากให้เขามาลำบากกับเรา เราก็รู้อนาคตที่เราต้องเจอ เราต้องเปลี่ยนสะโพก เราจะเดินได้ไหม ไตเราจะเปลี่ยนอีก จะเป็นยังไง เรารู้สึกโชคดีที่มีเขา แต่อีกใจก็คือเราก็ไม่อยากให้เขาต้องมาอยู่กับเรา ไม่อยากให้จมทุกข์กับเรา
เล่: ปิ่นบอกพี่บ่อยมาก พี่ก็เลยบอกว่าพี่ไม่เคยมองอนาคต เรามองที่ปัจจุบัน ตอนนี้เราโอเค มีความสุข เราจะไปมองอนาคตทำไม จะไปกลัวอย่างโน้นอย่างนี้ในอนาคตให้ทุกข์ทำไม
ปิ่น: เขาบอกกับเราอย่างงี้ เขาไปหาเรา ดูแลเรา ในตอนที่เราโทรม ไม่เหมือนเดิมเขาก็ยังอยู่กับเรา มันเหมือนเป็นการพิสูจน์ว่า เขาจริงจัง รู้สึกว่าเขาเนี่ยแหละที่ใช่
เล่: ความรักก็เหมือนการดูแลกัน เหมือนการได้ดูแลเทคแคร์คนที่จะอยู่ด้วยกัน
มุมมองความรัก
ปิ่น: ความรักมันคือการที่อีกคน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราได้อยากให้มองคำนี้เข้าไปลึก ๆ มันอาจเป็นคำเชย ๆ นะ ร่วมทุกข์ ช่วงที่เราทุกข์คือ คนคนนี้เขาสามารถอยู่กับเรา สู้ไปกับเราได้ นี่แหละคือความรักที่นำพาเราไป ถ้าเราไม่มีความรักให้กันเราก็ไม่สู้ไปด้วยกัน จะไม่ร่วมทุกข์ไปด้วยกัน ส่วนรวมสุขก็คือ โมเมนต์ที่เรามีความสุขเราก็อยากจะให้คนที่เรารัก อยู่กับเรา หัวเราะไปด้วยกัน นี่แหละคือความรัก เหมือนพรีเวดดิ้งเลยอะ (หัวเราะ)
กำลังใจที่มีในทุก ๆ วันมาจากไหนบ้าง
ปิ่น: กำลังใจจากคนรอบข้างหลัก ๆ ก็คือครอบครัว ถ้าไม่มีครอบครัวก็คงไม่ได้อยู่จนวันนี้ คุณแม่ที่ดูแลเราตลอด เขาแทบจะไม่ได้ทำงานตลอด 4 ปีเลย ต้องคอยดูแลตอนฟอกไต รับส่งไปโรงพยาบาล แม่เราจะอยู่กับเราตลอด ส่วนพ่อก็จะดูแลการทำงานเขาไป เรามีพี่น้อง 5 คนทุกคนก็คอยทำบุญ เป็นกำลังใจให้ ครู เพื่อนทุกคน คอยเป็นกำลังใจให้เสมอ
#ป่วยกายไม่ป่วยใจ
ปัจจุบันยังมีการรักษาอยู่ไหม
ปิ่น: ทุกวันนี้ก็ยังรักษา แต่กินยากดภูมิทุก 12 ชั่วโมง ก็รักษาตามอาการ คุมอาหาร ไม่ทำงานหนักเกินไป งดกินซูชิ (หัวเราะ) คือดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
เคยท้อไหมกับการรักษาที่เกิดขึ้น
ปิ่น: เคยท้อไหม เคยคิดถึงขั้นไม่อยากอยู่แล้ว ตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจว่ามันคือสัจธรรม ทุกคนก็ต้องป่วยเกิดแก่เจ็บตาย ตอนนั้นก็ท้อ ไม่อยากอยู่แต่ที่กลับมาได้ก็ครอบครัวที่สู้ เขาสู้เพื่อเราอะ ทำไมเราจะไม่สู้ เรารู้สึกอยากกลับมาแข็งแรง อยากกลับมาตอบแทนพ่อแม่ ครอบครัวเป็นหลัก เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเราก็คือครอบครัว คนรอบข้างเราอยากกลับมา คิดว่าทำไมเราต้องแพ้ เขายังสู้เลย
มุมมองดี ๆ จากการป่วย
ปิ่น: อย่างเมื่อก่อนเราเรียนไม่เก่ง ก็มีเวลาอยู่กับตัวเองมีสมาธิเรียนเก่งขึ้นมา แต่ก่อนก็ทะเลาะกับแม่บ่อย ก็รักแม่รักครอบครัวมากขึ้น เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น เราก็จะมองที่ครอบครัวมากขึ้น เลิกงานก็อยากกลับไปหาแม่
เล่: ชีวิตเรามันควบคุมไม่ได้เนอะ วันนึงเราป่วยขึ้นมามันอาจจะไม่เหมือนเดิมเลย เราก็อยากจะให้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้น ไปโรงพยาบาลเห็นคนป่วยเราก็จะเจอเตียงข้าง ๆ ที่เขาป่วยมันทำให้คิดว่า ชีวิตมันก็แค่นี้
ทุกวันนี้เล่ให้กำลังใจอย่างไรบ้าง
เล่: ปัจจุบันเราทำเหมือนเดิมนะ พาไปหาหมอ ให้กำลังใจ
ปิ่น: เล่เป็นกำลังใจ รับฟังเราทุกอย่าง เหมือนเป็นที่ระบาย อยู่ข้าง ๆ ตลอด เราอยู่กับเขาแล้วเราสบายใจ เรื่องสุขภาพเขาก็ชวนไปออกกำลังกาย กินยาเขาก็จะเตือนกินยาหรือยัง มันคือโมเมนต์เดิม ๆ ตลอด 8 ปี ที่เขาทำ ตอนเช้ามอนิ่ง กลางวันกินข้าวหรือยัง ตอนเย็นกูดไนท์ แต่อย่างน้อย ๆ มันก็คือการมีเขาตลอด มันสม่ำเสมอ มันคือกำลังใจ เราไม่ได้อยู่คนเดียว
ขอบคุณทุกคนในเพจที่รักเรา
อยากบอกอะไรกับคนที่เป็นเจ็บป่วยอยู่บ้าง
ปิ่น: จริง ๆ คนป่วยทุกคน ก็อย่าเพิ่งหมดหวัง ถึงแม้มันไม่หาย ขอให้มีความหวังว่ามันจะดีขึ้น ถ้าไม่ดีขึ้นก็ให้คิดว่าฉันจะอยู่กับมัน ไม่อยากให้ไปจมอยู่กับการที่จะหายไม่หายหรือจะตาย อยากให้มองในแง่บวก เราจะหายจะสู้กับโรคนี้ได้
มันอยู่ที่ความคิดเราเป็นหลัก มันอยู่ที่ความคิดเราคนเดียว ถ้าเราไม่สู้มันก็จะสู้ไม่ได้ ร่างกายคนป่วยเราห้ามไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับมัน แต่ใจเราเนี่ยสั่งได้ สั่งให้ใจสู้ และอยู่กับมันอยากให้หามุมจากการป่วยมุมที่เราจะเจอสิ่งดี ๆ ด้านดี ๆ จากการป่วยมันจะทำให้เราอยู่กับมันได้ สู้ไปกับมัน และอยากบอกว่าคุณไม่ได้สู้คนเดียว คุณไม่ได้ป่วยอยู่คนเดียว