หลาย ๆ คนคงจะรู้จักชื่อของไอด้า ไอรดา-ศิริวุฒิ เป็นอย่างดี ในฐานะ Single Mom ของน้องลัลลาเบลล์ และ แฟชั่นไอคอนแนวหน้าของเมืองไทย เนื่องในโอกาสเดือนแห่งวันแม่ The Passion เลยขอสัมภาษณ์เจาะลึกชีวิตคุณแม่สุดชิคคนนี้ รวมถึงความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของเธอด้วย
ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง
รับหมดทุกอย่างเหมือนเดิมในวงการเนาะ แล้วก็มีแบรนด์เสื้อผ้าเครื่องประดับ ที่เป็นงานแฮนด์เมด แล้วก็กำลังจะไปเรียนต่อที่สถาบันชนาพัฒน์ เป็นสถาบันแฟชั่น เป็นการเรียนแฟชั่นดีไซน์ เรียนที่ไทยสองปี อิตาลีหนึ่งปีก็จะจบปริญญาโทเลย
Single Mom ที่ดีควรเป็นอย่างไร
Single Mom ที่ดี ควรจะรักลูกค่ะ นอกเหนือจากนั้นไอด้าไม่รู้สึกว่ามันจะต้องมีกฎเกณฑ์หรือกรอบอะไร
ความรู้สึกแรกที่ตัดสินใจจะเลี้ยงลูกคนเดียว
จริง ๆ การตัดสินใจจะเลี้ยงลูกเองคนเดียวเราไม่ได้รู้สึกเจาะจงขนาดนั้น เราแค่รู้สึกว่าพอเรารู้ตัวว่าท้อง มันก็เป็นความรู้สึกนั้นแล้วว่าเราจะต้องเลี้ยงลูกเอง จะด้วยคนเดียวหรือไม่คนเดียว มันเหมือนเอาตัวเองเป็นหลักแล้วว่าฉันต้องเลี้ยงลูกเองไห้ได้ แล้วก็พอเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ นา ๆ ที่โอเคต้องเลี้ยงคนเดียวแล้วล่ะ ณ ตอนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาอะไร ไม่ได้รู้สึกว่ามันแบบเฮ้ย จะรอดมั้ย เพราะว่าเราเชื่ออยู่แล้วว่าแต่ละคน คนมีสัญชาตญาณความเป็นแม่เนาะ แล้วพอตั้งแต่เราเริ่มท้อง มันมีสัญชาตญาณตรงนี้เข้ามาซึ่งมันเกิดขึ้นโดยที่เรารู้ตัว คือเราก็มั่นใจ ว่าเราสามารถที่จะเลี้ยงเขาได้
Attitude ก่อน-หลังเป็น Single Mom
แอตติจูดเหรอคะ ต่างนะ คืออย่างก่อนหน้าที่จะมีน้องเนี่ยเราไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรเลยในชีวิต เราอยากจะทำไรก็ทำ ก็เหมือนวัยรุ่นคนนึงที่ทำงานหาเงินเองได้ เลี้ยงดูตัวเอง ฉันอยากจะไปทางไหนก็แล้วแต่เลยในแต่วันละวัน แต่ว่าพอมีลูกเนี่ย หลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไป แอตติจูดเปลี่ยนไปแน่นอน จากที่เราเคยมั่นใจในหลาย ๆ อย่าง จากที่เราเคยคิดว่าอยากจะทำไรก็ทำ มันกลายเป็นว่าเราจะต้องนึกถึงเขาก่อน ก่อนตัวเองอะค่ะ เหมือจะทำอะไรมันจะต้องนึกถึงผลกระทบต่อลูกต่อหลาย ๆ อย่างที่เขาจะต้องเติบโตขึ้นมา คิดเยอะขึ้นมาก
นานไหมกว่าจะเปิดใจให้ความรักอีกครั้ง
ถามว่านานไหม มันก็ไม่นานหรอก แต่ว่าปกติแล้วเราเป็นคนที่ ไม่ค่อยเปิดใจ หมายถึงเราเป็นคนชอบคนยาก ในชีวิตจะมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับความรักน้อยมาก น้อยมากจริง ๆ แต่ว่าถ้ามันเจอคนที่คลิกจริง ๆ มันก็จะไปเองค่ะ
อะไรที่ทำให้ไอด้าเปิด?
ไม่รู้เลยค่ะ อันนี้แอบคิดเอาเองว่าอาจจะเป็นว่าโดนอะไรขีดมารึป่าว เพราะว่าปกติเราจะเป็นคนที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับความรักน้อยมากในชีวิต แล้วก็สมมติไปกินไปเที่ยวกับเพื่อนเจอใคร เราจะไม่เปิดเลย ถึงจะถูกใจนะ บางทีแบบ เอ้ยหล่อจังเลย ก็ไม่ได้ให้เบอร์ คือค่อนข้างปิด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ณ วันนั้นทำไมเราถึงเปิดใจ แล้วมันก็เลือกถูก บิงโก
ความประทับใจที่มีต่อคุณเบ็น
เป็นคนดีค่ะ คำเดียวเลย มันเหมือนทำให้เรารู้สึกว่าในชีวิตนี้ เราจะเจอคนดีอย่างนี้ได้อีกหรือเปล่า เหมือนมันทำให้รู้สึกว่า ฉันไม่ดีพอ ฉันต้องเป็นคนดีกว่านี้ ดีแบบที่ไม่คิดว่าจะเจอคนแบบนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณเบ็นกับน้องลัลลาเบลล์เป็นอย่างไร
ดีค่ะก็อย่างที่บอก ด้วยความที่เขาเป็นคนดี แล้วเขาเข้ามาตั้งแต่ตอนที่น้องยังเด็ก แล้วก็เขาเคยพูดคำนึงวันที่เจอกันวันแรก อารมณ์ว่าตอนนั้นเขาเมาด้วยนะ แล้วเขาก็พูดคำนึงว่าแบบ เขาจะรักเหมือนลูกเลยอะไรแบบนี้ ตอนนั้นอะเราไม่ได้สนใจคำพูดนี้เลยเพราะเรารู้สึกว่า ก็พูดได้อะเพราะเมาอะไรแบบเนี้ย แต่ว่าพอเวลาผ่านมาปุ๊บ เขาทำให้เห็นเลยว่าเขาทำอย่างนั้นจริง ๆ เขารักลูกเรามาก แล้วก็รักเรามาก คือดูแลทุกอย่างแล้วก็เข้ากับลูกเราได้ดีมาก
เจอกันบ่อยไหม
บ่อยค่ะ ช่วงแรกเนี่ย เราก็บอกเขาตรง ๆ เลยว่า คือคุณต้องปรับตัวนะ ไม่ใช่ให้ลูกเราปรับตัว เพราะว่าลูกเราเด็ก เขาต้องเป็นคนปรับตัว ถ้าเขาอยากจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา เขาต้องเข้ามาที่ลูกเราให้ได้ ซึ่งก็แปลกมาก เพราะปกติลัลลาเบลล์ไม่ค่อยเอาใคร
ใช้เวลานานไหมกว่าจะสนิทกัน
ไม่นานนะคะ เพราะว่าพี่เบ็นดูแลลัลลาเบลล์จริง ๆ แล้วคิดว่าลัลลาเบลล์น่าจะรับรู้ เขาก็เลยเปิดใจเหมือนกันกับพี่เบ็น เขาก็เลยอยู่ได้แล้วก็ติดพี่เบ็นมากด้วย
ไอด้ามีวิธีการเลี้ยงลูกยังไง
ที่คิดเอาไว้ก็คือเลี้ยงเหมือนตัวเองโดนเลี้ยงมา ก็คือเป็นเพื่อน ที่บ้านเราเนี่ย พ่อแม่จะเลี้ยงเรามาเหมือนเป็นเพื่อนเลย เรามีอะไรเราจะบอกเขาทุกเรื่อง แล้วมันทำให้เรารู้สึกอุ่นใจในเวลาที่เราเจอปัญหาจริง ๆ หรือทางที่เราตันแล้ว ออกไม่ได้ เราจะมีพ่อแม่เป็นที่ปรึกษาตลอด แล้วไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงหรือว่าผิดขนาดไหน เขาจะเข้าใจเรา จะไม่สปอยล์ แล้วก็จะไม่แก้ปัญหาแทน ไม่ดุด่าว่ากล่าวจนเราทำอะไรไม่ถูก เขาจะอยู่ข้างเราแล้วก็มีเหตุผล ช่วยเราคิด เราเลยรู้สึกว่านี่แหละ เราโตมาแบบนี้แล้วเรามีความสุขกับชีวิตมาก เราอยากจะเลี้ยงลูกแบบนี้เหมือนกัน ก็คือเป็นเพื่อนกัน มีอะไรลูกสามารถบอกเราได้ทุกเรื่อง
มีใครเป็น Role Model ในการเลี้ยงลูก
จริง ๆ ไม่มีใครเป็นพิเศษ แต่จะดูจากหลาย ๆ คนแล้วเอามายำกัน เช่น พี่โอปอล์ (โอปอล์-ปาณิสรา อารยะสกุล) เราชอบพี่โอปอล์มาก เราชอบทัศนคติเขา เราก็จะตามไอจีเขา เราก็จะเห็นการเลี้ยงลูกของเขา คือเขามีเวลาให้ลูกแบบเต็มที่มาก แล้วเราก็จะหยิบตรงนี้แหละว่า ข้อบกพร่องเราคือไม่คอยมีเวลาเพราะเราทำงานเยอะ เราก็จะอยากจะแบ่งเวลาให้ลูกได้เหมือนเขา หรือจากใครที่เราได้มีโอกาสร่วมงานด้วย แล้วแลกเปลี่ยนทัศนคติกันเราก็จะดึงข้อดีของแต่ละคนมารวมกัน พยายามที่จะให้มันเป็นแบบฉบับของเราค่ะ
คำสอนอะไรที่ย้ำลูกบ่อยที่สุด
อันแรกเลยคือเป็นคนดี คือเราทำงานตรงนี้เราเจอคนเยอะมาก หลายรูปแบบ แล้วเราก็อยากให้ลูกโตมาแล้วเขารู้ผิดชอบชั่วดีอันนี้คือหลักสำคัญเลย สองคือ อ่อนน้อม ถ่อมตน อยากให้ลูกเป็นตนที่มีสัมมาคารวะ รู้กาลเทศะ นี่แหละที่รู้สึกว่าเราค่อนข้างซีเรียส คือมันต่างกันระหว่างคนที่มั่นใจในตัวเองกับคนที่รู้จักกาลเทศะหรืออ่อนน้อม ความมั่นใจอยากให้มีแต่มันจะต้องไม่ใช่มั่นใจจนไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
กิจกรรมอะไรที่ทำด้วยกันบ่อย
จริง ๆ เราทำอะไรด้วยกัน แทบจะทุกอย่างเลยค่ะ กิน นอน เวลาเราทำงาน เขาก็มาช่วยทำงาน คือเขาจะเป็นคนชอบอยู่กับแม่ชอบอยู่กับครอบครัว เห็นเราทำงาน นางจะอยากช่วย เราก็จะให้เขาช่วย หรือว่าออกไปในหมู่บ้าน ไปปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ไถสกู๊ตเตอร์ การแต่งตัวแต่งหน้า เขาจะมามีส่วนในทุกอย่างของเราเลยค่ะ บางวันก็แบบ วันนี้หม่าม้าแต่งตัวเท่ดีนะ บางทีก็ช่วยเลือกแบบว่า ปากแดงสิ
ถ้าวันแม่นี้ขอพรได้ 1 ข้อ ไอด้าจะขออะไร
ขอให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ ไม่อยากให้เจ็บให้ป่วยเลย รู้สึกว่าอันนี้น่าจะสำคัญที่สุด อย่างอื่นมันยังปรับแก้กันได้ แต่ถ้าเกิดสุขภาพไม่ดีก็เหมือนเรา เราเป็นโรคประจำตัว เรารู้สึกว่ามันทำให้การใช้ชีวิตเรามันมีข้อจำกัดเยอะ ก็อยากให้เขาแข็งแรง
การเป็นคุณแม่ลูก 1 ที่มีความเป็นแฟชั่นนิสต้าสูงมาก เล่าสไตล์การแต่งตัวคุณแม่ให้เราฟังหน่อย
เราบอกไม่ได้ว่าเราชอบแต่งตัวแบบไหน คือเหมือนเราชอบไปหมดอะ ตั้งแต่เราเด็ก จำความได้ เราชอบแต่งตัวมาก ตอนนั้นอนุบาล 3 เองมั้ง มีงานโรงเรียนแล้วก็ต้องไปแสดงบนเวที แล้วคุณแม่เป็นดีไซน์เนอร์ ทำห้องเสื้อ นางก็จะตัดเย็บชุดให้เรา เราก็จำได้ว่าเราพูดประโยคนึงว่า “เราขอสามชั้น กระโปรงอะ” คือเรากลัวแพ้ คิดดูอนุบาล 3 เองอะ เราบอกแม่ว่าเราขอสามชั้นแล้วเราก็เลือกสีเองด้วย ฉันต้องการแบบพุ่มที่สุด ใหญ่ที่สุด ไปโรงเรียนกระโปรงต้องสั้นเหนือเข่า ถ้าไม่สั้นเหนือเข่า ไม่ไป งอแงโดนตีเลย เหมือนเราชอบอะ มันก็เลยเป็นมาเรื่อย ๆ ว่าชอบแต่งตัว ชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับการแต่งตัว ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แอคเซสเซอรี หมวก แว่น แหวน ทุกอย่างเลยค่ะ ไม่สามารถจำกัดความให้ตัวเองได้ว่าสไตล์ไหน แล้วแต่อารมณ์ในแต่ละวัน
คิดอย่างไรกับการที่บางคนมีลูกแล้วไม่กล้าแต่งตัว (รูปร่าง / ความเหมาะสม)
ถ้าความรู้สึกนั้นมันเกิดกับตัวคุณแม่เอง ว่าเป็นแม่แล้วไม่กล้าแต่งเนี่ย จริง ๆ อยากบอกว่า ยิ่งเป็นแม่แล้วยิ่งต้องดูแลตัวเองค่ะ เรายิ่งต้องสวยยิ่งต้องรักตัวเอง จำไม่ได้ว่าเป็นคำพูดใครแต่เคยอ่านเจอมาแหละว่า ถ้าเกิดว่าเราไม่เห็นค่าตัวเอง ไม่รักตัวเอง เราไม่ดูแลตัวเอง มันก็จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำ ๆ คือปัญหาครอบครัว อันดับแรกเลย คือผู้หญิงปล่อยตัวเนาะ คือจริง ๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดผู้หญิงซะทีเดียวหรอก แต่ว่ามันก็เป็นต้นเหตุได้ว่า ก็เธอปล่อยตัว อีเหละเขะขะ หรืออะไรก็ตาม ต้องรักตัวเองก่อนปัญหาครอบครัวก็จะไม่เกิด เราต้องสวยต้องแซ่บเขาไว้ค่ะ ให้เขาตามเรา ไม่ใช่ให้เราตามเขา ถ้าเกิดว่ารู้สึกไม่มั่นใจ อาจจะค่อย ๆ เริ่มจากการแต่งอะไรก็ได้ที่เรามั่นใจก่อน คือเราไม่จำเป็นต้องไปแซ่บเหมือนคุณแม่คนอื่น อุ้ยทำไมคุณแม่คนนี้ยังแซ่บอยู่เลย ลูกสองแล้ว ซิคแพคยังมี มันทำให้เราเกิดความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองไร้ค่า คิดว่าตัวเองไม่ดี หรือว่าฉันไม่สวยสู้ อย่าไปเทียบกับคนอื่น
แล้วก็เริ่มจากเมคอัพค่ะ แต่งหน้าให้ตัวเองดูสวย ส่องกระจกแล้วให้รู้สึกว่า วันนี้ฉันรู้สึกดีจังเลย ทุกอย่างดี ๆ มันก็จะเข้ามา แต่ถ้าเรามีความรู้สึกว่าไม่ควรแต่งตัวอะไรอย่างงี้มันมาจากความคิดคนอื่น เป็นความคิดที่ผิดมาก ไม่โอเคเลยกับทัศนคติที่ว่า เป็นแม่แล้วทำไมยังแต่งตัว เพราะว่าส่วนตัวไอด้าโดนมาเยอะเหมือนกัน เช่น ใส่กางเกงขาสั้น ทำไมแต่งตัวแบบนี้มีลูกแล้วนะ เรารู้สึกว่ามันคนละส่วนกัน โอเคอาจจะเกี่ยวกับการเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูก การแต่งตัวเซ็กซี่บ้างอะ
มันไม่ได้รู้สึกว่ามีผลเสียขนาดนั้น ยกเว้นว่าโป๊จนลูกต้องถาม อันนี้ก็พอเข้าใจได้ แต่ถ้าจะแซ่บบ้าง แต่งตัวให้ดูสดใสวัยรุ่นบ้าง มันเป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ถ้าครอบครัวเราหรือลูกเราไม่มีปัญหากับจุดนี้คนอื่นก็ไม่ต้องไปสนใจค่ะ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแต่งตัวไหนแบบที่ตัวเองอยากเป็น ถ้าไม่เดือดร้อนใคร
Fashion การแต่งตัวของลัลลาเบลล์
จริง ๆ อะ ลัลลาเบลล์ก็ยังมีความเด็กอยู่ค่ะ อย่างตอนเด็ก ๆ อะ เราก็อยากให้เขาเป็นแบบเราแหละ เราก็พยายามที่จะสอดแทรกอะไรเข้าไปให้เขาได้บ้าง หรือเวลาเราเลือกชุดเราพยายามพูดเรื่องคู่สี เหมือนสอนไปในตัว เรื่องคู่สี เฉดสี โทนสี อย่างน้อยให้เขารู้ว่าอันนี้อยู่ใน Pantone นี้นะ ค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไป เพราะว่าเราคงบังคับเขาไม่ได้ รสนิยมแต่ละคนมันไม่เหมือนกันเลย หนูเชื่อว่ามันอยู่ในใจอะ บางทีพ่อแม่แต่งตัวเปรี้ยว ลูกอาจจะไม่ชอบเลยก็ได้ ลูกอาจจะเห็นละแบบ ฉันจะไม่มีวันเป็นแบบแม่ แล้วก็ด้วยความที่เขาเด็กเขาไปโรงเรียน เขาก็จะได้รับอิทธิพลจากโรงเรียนเช่น วันนี้หนูอยากเป็นเจ้าหญิง รองเท้าแก้วติดไฟเงี้ย นางก็มีมาขอ เราก็ต้องเจอกันตรงกลางว่า โอเค ๆ หม่าม้าให้ได้ประมาณนี้นะ คงไม่ถึงกับไฟสามชั้นเหมือนเพื่อนลูกนะ ตอนนี้เขาโตแล้วเริ่มเลือกเอง อย่างเมื่อก่อนเนี่ยเราเลือกให้ เขาก็จะแค่เอาไม่เอา แต่ว่าเดี๋ยวนี้เขาจะมีความเลือกเอง แล้วแต่อารมณ์เขาด้วยบางวันเขาอยากจะเป็นเจ้าหญิงจริง ๆ เราห้ามไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้เขาเลือก แต่บางวันเขาอยากจะเอาใจเราเขาก็จะเดินมาละวันนี้หนูใส่กางเกงวอร์มรองเท้าบูทนะ เลือกเองด้วยเข้ากันไหม หม่าม้าโอเคไหม คือเขาจะรู้ว่าเราจะชอบอะไรที่มันบอย ๆ แต่เขาจะไม่ชอบ ก็จะมีบางวันที่อยากเอาใจก็จะเป็นบอย ๆ ให้เรา ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงที่ ลัลลาเบลล์เริ่มที่จะเรียนรู้การแต่งตัวค่ะ เริ่มแบบลองผิดลองถูกก็ปล่อยเขา ไกด์ไลน์ไว้ห่าง ๆ
ช่วงที่เป็นคุณแม่มือใหม่ทั้งก่อนและหลังคลอด มีไอเท็มอะไรที่เป็นประโยชน์และขาดไม่ได้
โห น่าจะเป็นชุดนอนกระดุมหน้าค่ะ คือในชีวิตไม่เคยใส่ชุดนอนที่เป็นกระโปรงเลย จนท้องนี่แหละค่ะ คุณอาซื้อให้ ซื้อมาฝากหลายตัวเลย ตอนแรกเราก็รู้สึกว่าแบบต้องใส่อย่างนี้เหรอ สรุปคือมันดีกับชีวิตมาก คือมันไม่ใช่แค่ใส่นอนอะมันกลายเป็นเราซื้อแบบเยอะมากเพื่อเอาไว้ซื้อใส่อยู่บ้านด้วย เพราะว่ามันง่ายเวลาให้นมลูก แล้วก็อยู่บ้านคือเข้าห้องน้ำง่ายเปลี่ยนชุดง่าย จนหลังคลอดอะเราก็ยังติด คือทุกวันนี้เราก็ยังติดใส่ชุดนอนกระดุมหน้า
อยากฝากอะไรถึง Single Mom มือใหม่
จริง ๆ ในอินบอกซ์เฟซบุ๊กคือแตกเลยนะ คนเข้ามาถามเยอะมาก ส่วนใหญ่ก็จะเข้ามาเล่าประสบการณ์ตัวเองว่าหนูก็โดนแบบนั้นหนูก็โดนแบบนี้ ตอนนี้หนูก็ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว บางคนถึงขั้นจะไปทำแท้งก็มาปรึกษาเราอะ จริง ๆ เราก็อยากจะบอกเลยค่ะว่าทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราจริง ๆ มันอยู่ที่จิตใจเราคือถ้าจิตใจเราเข้มแข็งซะอย่าง เราดึงสติเราตั้งสติอะ ว่าเราจะต้องผ่านไปได้ คือไม่ได้บอกว่าตัวเองเก่งเลยนะคะ คือตัวเองก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้สึกหรือว่าชินชาก็ไม่ใช่นะ คือทุกวันนี้เราก็เซนซิทีฟกับเรื่องพวกนี้มาก คือเราเข้าใจว่ามันกลายเป็นปมในใจของแน่ละคนเลยนะ เมื่อก่อนเป็นคนแบบว่าโห การจะเห็นน้ำตาฉันนี่คือยากมาก อันนี้ดูหนังกระจอกงอกง่อยแค่แบบเป็นเรื่องนิดเดียว ร้องไห้ ๆ ๆ เพลงที่แบบที่นิดเดียว ร้องไห้ง่ายมาก เพราะว่ามันเหมือนกลายเป็นปมในใจ ซึ่งเราก็ไม่รู้ตัวหรอก ถึงเราจะพยายามเข้มแข็งขนาดไหน เพราะฉะนั้นเนี่ย แค่อยากจะบอกว่าถ้าเกิดว่ามันมีมุมที่อ่อนแอจริง ๆ ก็เหยียบมันให้ลึกที่สุดแค่นั้นเอง แล้วก็ดึงมุมที่เราเข้มแข็งออกมา หรือใครที่ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ก็อยู่กับเพื่อนพยายามหาactivities หากิจกรรมทำ อย่างส่วนตัวไอด้าคือ ทำงาน อยู่กับเพื่อน อยู่กับลูก แค่เนี้ยอะค่ะ ให้เราคิดถึงลูกมากกว่าตัวเอง แล้วเราจะผ่านมันไปได้ค่ะ