“อยากไปเที่ยวจัง แต่สาวมนุษย์เงินเดือนอย่างฉัน จะเอาเงิน เอาเวลาที่ไหนไปเที่ยวล่ะ ” หลายคนคงมีความคิดแบบนี้ขึ้นมาในหัวเวลาที่วาดฝันคิดว่าอยากจะเดินทางท่องเที่ยว นั่นอาจเป็นความกลัวที่ใครหลายคนสร้างไว้เป็น Comfort Zone คุณเป็นอีกคนหรือเปล่าที่ยังคงกลัวและติดอยู่ใน Comfort Zone ของตัวเอง
แต่นั่นไม่ใช่สำหรับ ลูกแพร์ – นนทกร เฉลิมนัย สาวสวยหน้าหวานผู้พิชิต Via Ferrata ที่สูงที่สุดในโลก เดินทางท่องเที่ยวและก้าวผ่าน comfort zone ของตัวเอง The Passion อยากชวนทุกคนมาลองทำความรู้จักเธอและร่วมก้าวผ่าน Comfort Zone ไปด้วยกัน
1 | จุดเริ่มต้นการมาทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์
คือจริงๆเราได้รับการเที่ยวแอดเวนเจอร์อะไรแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนเด็กก็ชอบตามครอบครัวคุณอาไปตั้งแคมป์ เที่ยวภูเขา โตมาก็ได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วรู้สึกสนุก และติดใจมาก
2 | Via Ferrata คืออะไร ทำไมถึงไปที่นั่น
จริงๆคำว่า Via Ferrata มันเป็นเหมือนเส้นทางที่เค้าติดตั้งห่วงเหล็กเครื่องมือ ไว้เราสำหรับปีนผาไว้อยู่แล้ว จริงๆเส้นทางนี้มีประมาณ 300 ที่ในโลกเลย ส่วนที่ไปมาคือคินาบาลู คือเส้นทาง Via Ferrata ที่สูงที่สุดของโลกที่ Guinness World Records ไว้เลย
เริ่มแรกเรามี Dream Destination ของทุกปีไว้อยู่แล้วว่าจะไปที่ไหน แล้วตอนนั้นก็คือเราตั้งเป้าว่าจะไปคินาบาลูเพราะมันเป็นเขาที่สูงที่สุดในมาเลเซีย เป็นที่สองเอเชีย ซึ่งค่าขึ้นที่จะขึ้นไปปีนมันก็จะสูงขึ้นทุกปี ตอนนั้นเราก็เลยคิดว่าต้องลองไปแล้วแหละ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่า Via Ferrata คืออะไร ซึ่งเส้นทางที่ขึ้นไปคินาบาลูมันมี 2 เส้นทาง คือเป็นทางเดินขึ้นแล้วกลับทางเดิน กับ เดินขึ้นแล้วกลับทาง Via Ferrata เราก็คิดว่าไหนๆก็ไปทั้งทีไปให้สุดเลยละกัน ไปที่โหดสุดไปเลย ( หัวเราะ )
3 | ก่อนจะไปพิชิต Via Ferrata แพร์วางแผนอะไรบ้าง
หลักๆเราก็หาข้อมูลทั่วไปเลยปกติ ก็คือเดินทางไปยังไง หาเลือกเอเจนซี่ที่ได้มาตรฐาน ราคาที่พึงพอใจ เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อม อีกอย่างก็คือออกกำลังกายให้พร้อม เพราะว่าการปีนเขาคือ มันก็ต้องใช้ร่างกายที่พร้อม เตรียมร่างกายก่อนไป 2- 3 เดือน เราต้องฟิตร่างกายเยอะมาก การเดินมันเหนื่อยมากนะ วันนึงเราเดินประมาณ 6 กิโลเมตร แต่เป็น 6 กิโลเมตร ที่ขึ้นเขาตลอดเวลา และต้องแบกของ 10 กิโลกรัมไปด้วย ซึ่งจริงๆก็มีลูกหาบแต่เราคิดว่ามันไม่หนักไง ( หัวเราะ ) เราไหวก็เลยไม่จ้าง แต่พอเอาจริงๆ ก็เหนื่อยอยู่เหมือนกัน ( หัวเราะ )
4 | ทริป Via Ferrata นี้ใช้เวลากี่วัน กิจกรรมเป็นยังไงบ้าง
ทริปนี้ใช้เวลาแค่ 2 วัน 1 คืน วันแรกทีมเอเจนซี่เค้าจะมารับเราที่ที่พักไปจุดเริ่มต้น ก็จะมีบรีฟก่อนแล้วก็พาเริ่มเดิน ผ่าน 3 กิโลเมตรแรก ก็แวะทานข้าวเป็นขนมปัง ไข่ต้ม ธรรมดาๆ แล้วเราก็เดินต่อไปอีก 3 กิโลเมตร เพื่อไปยังที่พักของเรา พอไปถึงที่พักคนที่เดินเส้นทาง Via Ferrata ก้ต้องมีการสอนการเดิน การใช้เชือก การร้อยห่วงยังไงต่างๆ เพื่อความปลอดภัย หลังจากนั้นก็พักผ่อนทานข้าว นอน ตื่นมาอีกที ตี 2 ไกด์เราก็จะมาปลุกเพื่อเดินไปยังยอดเขาคินาบาลู อยู่ที่ความสูงง 4,095 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ก็เริ่มเดินตั้งแต่ตี 2 ถึงประมาณตี 5 ถือว่าถึงไว เพราะเราฟิตร่างกายมาดีมาก พอไปถึงก็ดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ต้องรีบลงมาที่เส้นทาง Via Ferrata ก่อน 7 โมงเช้า เพื่อเดินเส้นทาง Via Ferrata คือถ้าเรามาสายกว่านั้น เราจะอดเดินเลยนะ ( หัวเราะ) ไม่ว่าเราจะจ่ายเงินไปแล้วยังไง สายคืออดแน่นอน ซึ่งระหว่างทางก็คือเราก็เดินไต่เขา ปีนผาลงไป ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรนิดๆ ระยะทางก็เป็นป่าเป็นเขากันไป ช่วงสุดท้ายก็จะมีเหมือนปีนขึ้น แล้วก็พอถึงเราก็เดินทางกลับไปที่พัก ทานอาหารเที่ยงแล้วก็เช็คเอ้าท์กลับเดินลงมาข้างล่าง ก็เดินประมาณ 12 กิโลเมตร เดินแบบเซ็ตเดียวเลยก็ถึงประมาณ 4-5 โมงเย็น ซึ่งเดินลงเนี่ย เราว่าทรมานกว่าเดินขึ้นอีก ( หัวเราะ)
5 | สิ่งที่ชอบสุดในการพิชิต Via Ferrata
สิ่งที่ประทับใจก็คงเป็นวิว ของช่วงที่เราเดินที่ Via Ferrata เพราะว่ามันเป็นหน้าผา เวลาเรามองลงไป คือเวลาเรามองลงไปเราแทบจะเห็นวิวทั้งหมดของเกาะบอร์เนียว ที่เป็นทิวเขา มีเมฆที่ลอยอยู่ใต้เรา มันดูกว้างไกลและสวยมาก ตอนนั้นคือมันสวยจนเราลืมความกลัวไปเลย แม้ว่ามันจะสูงมากๆก็ตาม ก็ถือว่าหายเหนื่อยไปเลย
6 | ตอนเดินเขาแล้วเหนื่อยมีเคล็ดลับยังไงบ้าง
เคล็ดลับในการเดินเวลาเหนื่อย คือเราเป็นคนให้กำลังใจตัวเองตลอดว่าต้องไปต่อ เราเคยไปเดินมาทริปนึงไกด์เราก็จะเชียร์อัพเราตลอดว่า Never Give Up Keep Smiling เราก็ยึดคำนั้นมาโดยตลอด เราก็จะค่อยๆเดินไป เดี๋ยวมันก็ถึงจุดหมายได้ ถ้าเราตั้งใจตั้งสติเดินมันก็จะถึง ก็คือเป็นการให้กำลังใจตัวเองตลอดการเดินทาง รวมไปถึงการให้กำลังใจคนรอบข้างที่เดินผ่านด้วย ถ้าที่ไทยก็จะประมาณ สู้ๆ นะ อีกนิดเดียว ( หัวเราะ)
7 | นอกจาก Via Ferrata เคยไปปีนเขาที่ไหนอีกมั้ย
นอกจาก Via Ferrata ก็มีโบรโม่ คาวาอิเจียน รินจานี ที่อินโดนีเซีย ถ้าที่ไทยก็มีที่ สันหนอกวัว กาญจนบรี แล้วก็ ผาหินกูบ จังหวัดจันทบุรี ในด้านความชอบประทับใจจริงๆก็ชอบทุกที่ที่ได้ไปนะ เพราะแต่ละที่มันก็แตกต่างกัน แต่ถ้าชอบก็คือมีอีกที่นึงเป็นการเดินถ้ำที่เวียดนามคือ ถ้ำทูแลนด์ คือมันไม่ได้เดินเหนื่อยมาก แต่ว่ามันได้ทำหลายอย่างครบรสมาก ทั้งการ Trekking เดิน เข้าไป ปีนหินต่างๆ ว่ายน้ำในถ้ำ ที่อุณภูมิ 14-16 องศา และในถ้ำคือมืดสนิทมาก มันก็ตื่นเต้นสนุกดี Adventure มาก แล้วคือเอเจนซี่ที่พาไปเค้าบริการดี อาหารอร่อย Full Service มากๆ เราเลยติดใจ ชอบ และอยากกลับไปอีก
8 | คิดว่าเส้นทางไหน โหดสุด เส้นทางไหนประทับใจสุด
เส้นทางที่โหดสุดสำหรับแพร์ในตอนนี้ แพร์คิดว่าคือ ริจานี ที่อินโดนีเซีย คือตอนนั้นเราก็ออกกำลังกายไปนะแต่อาจจะน้อยไป เราสควอท ออกกำลังกายขา แต่เราไม่ได้วิ่งไป แล้วพอไปเจอการเดินจริงๆ มันคือที่สุดของความเหนื่อยมันชันเกือบ 90 องศา แล้วทางที่เดินก็จะเป็นดินภูเขาไฟที่ร่วนๆ เดินไป เราก็จะไถลถอยกลับมาตลอด ทริปนั้นคือใช้เวลาเดินนานมาก กว่าจะถึงยอดเขาคือใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง ซึ่งตรงนั้นอ่ะ มันคือจากที่พักไปถึงจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นระยะทางอยู่ที่ 1-2 กิโลเมตร แต่เราเดินไม่ทันประอาทิตย์ขึ้น ตอนนั้นมันชันและหนาวมาก เราก็ต้องเดินๆ ไปแล้วไปหลบกับหินสักพักเพื่อกันลมหนาว ถือว่าโหดมาก ตอนลงก็เหนื่อยมากเหมือนกัน เพราะตอนลงเท้าเราจะทิ่มลงและบีบ เล็บเราก็จะโดนบีบ แล้วเล็บมันก็จะตาย แล้วก็ฉีก ซึ่งผ่านไป 1 ปี เราก็ยังไม่หายดีนะ เพราะมันจะซ้อนๆ กันแล้วก็ฉีกอยู่เรื่อยๆ โหดจริงๆ ( หัวเราะ ) แต่มันก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี มันสวยและชอบเหมือนกัน
9 | มีเส้นทางไหนที่ตั้งเป้าว่าจะไปในอนาคตมั้ย
ถ้าเอาเร็วๆ นี้ก็คือ ปีหน้าเราจะไปเดินเส้นแคชเมียร์ ก็คือเป็นเส้นทางเดินผ่านเทือกเขาหิมาลัย ใช้เวลาเดินประมาณ 7 วัน แต่มันไม่ได้ชันอะไรมาก แม้ว่าจะอยู่ที่ความสูง 7000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล แต่ก็คือไม่ได้อยู่ในช่วงทางชันตลอด ยังมีทางราบบ้าง แต่ว่าก็เดินเกือบ 100 กิโลเมตรเลยทั้งทริป ส่วนทริปที่ตั้งเป้าว่าต้องไปเลยก็คือ Everest Base Camp คืออยากไปมาก ถ้ำ Son Doong ที่เวียดนาม ที่ต้องไปให้ได้
10 | แพร์หลงรักหรือชื่นชอบอะไรในกิจกรรมท่องเที่ยวแอดเเวนเจอร์
กิจกรรมพวกนี้มันทำให้เราได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น พอได้ทำอะไรพวกนี้มันทำให้เราลืมทุกสิ่งลืมอดีต ไม่ต้องคิดถึงอนาคตอยู่กับปัจจุบันอยู่กับตัวเอง เรียนรู้ตัวเองมากขึ้น
11 | คิดว่าคำว่า comfort zone คืออะไร
Comfort Zone มันคือความกลัวที่เราสร้างขึ้นมา กลัวโน่น กลัวนี่ ไม่กล้าออกไปทำซะที หรือว่าการที่เราคิดว่า ฉันคือ คนทำงาน มนุษย์เงินเดือน ฉันไม่มีเวลา ไม่มีเงินไปเที่ยวหรอก อะไรงี้ มันเหมือนเป็นกำแพง ที่ทำให้เราไม่กล้าที่จะออกไปทำสิ่งใหม่ๆ ทำสิ่งที่เราอยากทำ
12 | สำหรับแพร comfort zone ของตัวเองคือที่ไหน
แต่ก่อนเราก็กลัวเหมือนกันนะ เรากลัวว่าเราจะทำไม่ได้ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้ลองทำมันเลย อย่างการเล่นเซิร์ฟ เราก็เคยคิดว่าเราทำไม่ได้ เรายืนไม่ได้หรอก เราจะทำได้หรอ มันดูยาก แต่พอเราได้ลองทำเราก็ทำได้ คือทุกอย่าง ถ้าเราได้ทดลองทำ และคิดว่าเราทำได้ มันก็ทำได้อยู่แล้ว
การที่เรากล้าออกมาจาก Comfort Zone ก็คือ เราคิดแค่ว่า เรามีความฝัน เราอยากทำอะไรก็ทำ ชีวิตเราก็เกิดมาแค่ครั้งเดียว ถ้าเราไม่ลงมือทำตอนนี้มันก็จะเสียดายในตอนหลังว่าทำไมฉันไม่ทำในช่วงที่ยังมีแรงที่จะทำ นั่นก็คือเกิดมาครั้งนึงก็ทำในสิ่งที่อยากทำให้ได้หมด
13 | เป็นผู้หญิง เที่ยวแบบนี้ไม่อันตรายหรอ
ถ้าความอันตราย มันก็ไม่ได้อันตรายนะ แต่เราก็ยังไม่เคยเที่ยวคนเดียวเราเลยไม่รู้ว่ามันอันตรายมั้ย แต่กิจกรรมที่เราไปทำมา เดินป่า ปีนเขา ดำน้ำ อะไรอย่างงี้ คือ มันก็ไม่อันตรายนะถ้าเรามีสติในการทำ และระมัดระวัง ผู้หญิงก็ทำได้นะสบายๆ
14 | ปัจจุบันทำงานอะไร แล้วแบ่งเวลาไปท่องเที่ยวยังไง
อย่างเราก็ไม่ได้เงินเดือนเยอะหรอก แต่ว่าเราก็หาอาชีพเสริมมาทำเพื่อช่วยใช้ในการเที่ยว ก็จะไปก็ควรหมั่นเก็บเงินทุกเดือน ส่วนการเก็บก็คือพอได้เงินเดือนมาก็เก็บไปเลยว่าเดือนนี้เก็บเท่าไร เป็นไปตามเป้า ไม่นานเราก็ไปได้ ส่วนวันลาส่วนใหญ่ไปเที่ยวเราจะเน้นไปช่วงหยุดยาว สงกรานต์ ปีใหม่ ก็โชคดีด้วยที่ออฟฟิศคือมีเวลาหยุดที่ยาว เราก็ลาเพิ่ม 1-2 วันก็ทำให้เราได้ไปทริปยาวๆประมาณ 10 วันได้แล้ว ส่วนวันทั่วไปก็ไปใกล้ๆ เล่นเซิร์ฟดำน้ำ ทำกิจกรรมใกล้ๆ เรา แถวระยอง ใกล้ๆกรุงเทพเอา
15 | เป็นคนชอบทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์ขนาดนี้ดูแลตัวเองยังไงบ้าง
ก็จริงๆ เราก็ดูแลตัวเองเหมือนคนทั่วไปเลยก่อนออกไปทำกิจกรรมก็ทาครีมกันแดด หลังทำกิจกรรมก็ทาครีมบำรุงต่างๆ บางทีเรากลับมาก็คือหน้าไหม้ ตัวไหม้ ปากไหม้ เราก็จะบำรุง ดูแลรักษาไปตามอาการ ส่วนร่างกายก็คือพยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการเดินทาง
16 | คิดว่าเราได้อะไรจากการเดินทางบ้าง
ได้เยอะมาก ( หัวเราะ )มันก็คือประสบการณ์ความแปลกใหม่เนอะ ประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ ที่ไม่ได้อยู่แค่ในโลกการทำงาน ได้เจอผู้คน ได้เรียนรู้ตัวเองด้วย เรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลาย อีกอย่างเลยคือได้ความสุขกลับมา
17 | ฝากอะไรถึงคนที่คิดอยากจะเดินทาง หรือกำลังจะก้าวออกจาก comfort zone หน่อย
ถ้ามีความฝัน อยากทำอะไร ก็ลงมือทำเลย อย่ารอ อย่ากลัว ถ้ารอ ถ้ากลัวคุณก็ไม่มีทางได้ออกไปทำสิ่งนั้นให้สำเร็จหรอก มีหลายคนเหมือนกัน เพื่อนๆ ที่จะบอกว่าติดงาน ทำงาน ไม่มีเวลา แต่ถ้าเราตั้งเป้าไว้แล้วว่าจะไป ก็เก็บเงินสิ หาวันลาที่จะไป ถ้าเราพยายามอ่ะ จุดนั้นเราทำได้อยู่แล้ว ถ้าเราอยากจะไปจริงๆ