หากเอ่ยถึงคำว่า ‘ปฏิบัติธรรม’ สาวๆ อย่างเราอาจคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวหรือจะสนใจก็เฉพาะตอนที่มีเรื่องทุกข์ใจ มีปัญหาในชีวิตเท่านั้น บางคนก็คิดว่าการปฎิบัติธรรมนั้นต้องใช้สถานที่ ใช้เวลาหลายวันจนถึงสัปดาห์ หากที่จริงแล้วการปฎิบัติธรรมนั้นไม่จำเป็นต้องใช้อะไรเลยนอกจากตัวเราเอง

The Passion ขอนำเสนอการ ปฏิบัติธรรม นอกรูปแบบที่เป็นการฝึกการเจริญสติในชีวิตประจำวัน จากพระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต เหมาะสำหรับผู้คนยุคปัจจุบันที่มีชีวิตที่เร่งรีบ เวลาน้อย แต่เห็นความสำคัญและสนใจที่จะฝึกปฏิบัติธรรม แต่มีข้อจำกัดเรื่องการเดินทาง เวลา จึงไม่สามารถที่จะเดินทางไปฝึกปฏิบัติตามสถานที่ต่างๆได้ โดยสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้จริงในชีวิตประจำวันได้ตั้งแต่เช้าจนเข้านอน

 ตัวอยู่ไหน ใจอยู่นั่น

นี่คือหลักปฏิบัติง่ายๆ ตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น ถ้าเกิดตัวเราอยู่บ้าน อยู่บนโต๊ะอาหาร แต่ใจเราไปอยู่ที่ทำงาน พอนึกถึงงานก็จะต้องรีบแล้ว เกิดความรู้สึกลนขึ้นมา ก็เลยรีบเคี้ยวโดยที่ไม่ได้รู้รสชาติของอาหารเลย แล้วสุขภาพก็จะไม่ค่อยดี ไม่ใช่แค่สุขภาพกายแต่รวมถึงสุขภาพใจ ลองวางงานการต่างๆ ลงชั่วคราว งานมันจะมีกี่อย่าง มันจะยากจะใช้เวลานานแค่ไหนก็รอไว้ก่อน ถึงเวลาทำงานแล้วค่อยปลุกปล้ำกับมัน

ให้เราเริ่มเช้าของทุกวันด้วยความรู้สึกตัว เวลาทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหน เช่น เก็บที่นอน ล้างหน้า ถูฟัน อาบน้ำ แต่งตัว สวมเสื้อผ้า ทำครัว กินอาหาร ขับรถไปทำงาน หรือระหว่างที่รอไฟเขียว เราก็มาอยู่กับเนื้อกับตัว อย่าเพิ่งปล่อยใจไปที่โน่นที่นี่ให้เกิดความหนักอกหนักใจ นี่เป็นการปลุกสติที่ทำได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องรอไปเข้าคอร์ส ไม่ต้องรอหาเวลาไปวัด

 อยู่กับปัจจุบัน

‘อยู่กับปัจจุบัน’ คือ การที่เราพาจิตพาใจมาอยู่กับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งเล็กน้อยหรือใหญ่โตแค่ไหน จะอาบน้ำ แปรงฟัน ล้างหน้า แต่งตัว สวมเสื้อผ้า ใจเราก็อยู่กับสิ่งนั้น รวมถึงงานการที่เรากำลังวางแผนว่าอาทิตย์หน้าจะทำอะไร ถึงแม้อาทิตย์หน้าจะเป็นอนาคต แต่ถ้าเราตั้งใจที่จะวางแผน ก็ถือว่างานนั้นคือปัจจุบัน

‘ปัจจุบัน’ ในพุทธศาสนา ไม่ได้หมายถึงเฉพาะขณะนี้ตรงนี้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงงานที่เรากำลังทำในบัดนี้ แม้จะเป็นงานที่เกี่ยวเนื่องกับอนาคตหรือสัมพันธ์กับอดีตก็ตาม

‘อยู่กับปัจจุบัน’ ยังหมายถึงการที่เราชื่นชมให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรามีอยู่ สิ่งที่เสียไปแล้วก็ไม่ไปเสียดายอาลัยอาวรณ์ สิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรือสิ่งที่ยังไม่มีเราก็ไม่พะวง หลายคนเป็นทุกข์เพราะนึกถึงสิ่งที่ยังไม่มี

‘อยู่กับปัจจุบัน’ ด้วยการชื่นชมและให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรามีอยู่ เช่น ตอนนี้เราควรจะรู้สึกขอบคุณที่เรายังมีลมหายใจ ขอบคุณที่เรามีวันใหม่ การที่เรามีวันใหม่และยังมีลมหายใจ อันนี้เรียกว่าเป็นโชคก็ได้ เพราะหลายคนไม่มีโอกาสที่จะได้อยู่มาจนถึงวันนี้

ทำงานด้วยใจเต็มร้อย

พยายามให้ใจอยู่กับงานที่ทำ อย่าไปพะวงกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง วางแผนสำหรับวันข้างหน้าได้ แต่ทำด้วยความมีสติ ด้วยความใส่ใจ ไม่ใช่พะวง ไม่ใช่หนักอกหนักใจ ความรู้สึกตัวจะเกิดขึ้นเมื่อใจอยู่กับเนื้อกับตัว และเมื่อเรารู้สึกตัว ทำอะไรก็ทำได้ถูกต้อง จะทำงานใช้ความคิด สนทนาพูดคุย หรือทำงานบ้าน ให้มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ

ปฏิบัติธรรม

พักงานแล้ว พักใจด้วย

ไม่ใช่เรื่องผิด ที่เราจะวางการงานลงจากใจบ้าง เพื่อจะได้มีเรี่ยวแรงทั้งกายและใจ แล้วค่อยไปทำงานต่อ บางทีคำพูดจาของเพื่อนร่วมงานที่ไม่ถูกหู ไม่ถูกใจ เราก็เก็บมาคิด ขณะทำงานใจก็คิดถึงคำพูดและการกระทำของเขา จนเกิดความขุ่นมัว ใจก็ทุกข์ งานก็ทำได้ไม่ดี ลองวางคำพูดและการกระทำของเขาลงจากใจของเรา ยิ่งเวลาพักเป็นช่วงเวลาที่จะต้องเคลียร์สิ่งเหล่านี้ออกไปจากใจ เขาจะพูดหรือทำอะไรไม่ถูกใจก็ถือว่าเป็นเรื่องอดีต วางมันลงเสียบ้าง เราจะได้พักทั้งกายและใจ เมื่อได้พักทั้งกาย พักทั้งใจ เราก็จะมีกำลังมีเรี่ยวแรงในการที่จะทำงานต่อไป

ชื่นชมสิ่งดีๆ ที่อยู่รอบตัว

สิ่งดีๆ เกิดกับเราในแต่ละขณะอยู่เสมอ อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือไม่ ในที่ทำงาน บ่อยครั้งเราจะรู้สึกหงุดหงิดกับเพื่อนร่วมงาน เพราะเราเห็นแต่ด้านที่ไม่ดีของเขา ทั้งที่จริงด้านดีของเขาก็มีอยู่ เช่น เขามักจะกินกาแฟแล้ววางถ้วยทิ้งไว้ไม่ยอมล้าง หรือเป็นคนที่มาสายประจำ ฯลฯ แต่เขาก็เป็นคนที่ขยันขันแข็ง มีน้ำใจ รับผิดชอบต่องาน

ถ้าเรามองเห็นส่วนดีของเขา ความขุ่นเคืองในใจเราจะน้อยลง และมีเรื่องที่จะชื่นชมกันมากขึ้น ถ้าเรามองเห็นสิ่งดีๆ ที่มีอยู่รอบตัว การมีความสุขในที่ทำงานก็เป็นไปได้ง่าย ลองน้อมใจมองให้เห็นและชื่นชมสิ่งดีๆ ที่มีอยู่รอบตัว อย่าไปเก็บจดจ่ออยู่แต่สิ่งที่ไม่ดี บางทีเราจะอยู่ร่วมกันได้ง่ายขึ้น ถ้าเรามองเห็นสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในเพื่อนร่วมงาน แทนที่จะมองเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี

ปฏิบัติธรรม

ยอมรับ โดยไม่บ่น

ถ้าเราหมั่นสังเกตใจจะพบว่า ตัวการที่ทำให้ทุกข์ใจไม่ใช่สิ่งภายนอก แต่เป็นเพราะใจที่ไม่ยอมรับ ใจที่บ่นโวยวาย การบ่นไม่เพียงแต่ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่กลับทำให้แย่ลงเพราะทำให้เราทุกข์ใจ แต่ทันทีที่เราหยุดบ่น ยอมรับได้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ตรงนี้จะทำให้ความทุกข์น้อยลง แล้วทำให้เรามีสติ มีกำลังที่จะหันมาแก้ไขสถานการณ์

ยอมรับ คือการอยู่กับปัจจุบัน และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

ยอมรับ เพราะมันคือความจริงที่เราหนีไม่พ้น ป่วยการที่จะบ่น

ยอมรับ คือการอยู่กับความเป็นจริงแล้วมองไปข้างหน้าเพื่อแก้ไขปัญหา

เมื่อเรายอมรับความจริงได้ เราจะสามารถทำปัจจุบันให้ดีที่สุดได้ จะไม่มัวกลุ้มอกกลุ้มใจ ไม่มัวบ่น เพราะนั่นคือการทำให้เวลาล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ แล้วเราจะทำได้เพราะมีใจโปร่งโล่ง ไม่หัวเสีย ไม่หงุดหงิด เราจึงจะแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง

หัวใจสำคัญของการปฎิบัติธรรมรูปแบบนี้คือความมีสติ หรือเรียกว่า การปลุกสติ ให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เน้นวิธีสังเกตอารมณ์และความรู้สึก รู้จักการผ่อนคลายอารมณ์และความรู้สึก การอยู่กับปัจจุบันขณะ ซึ่งหากลองทำตามดูก็จะพบว่าเรารู้สึกผ่อนคลายและสงบมากขึ้น รับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น และที่สำคัญคือเข้าใจตัวเองมากขึ้น ลองนำไปฝึกปฎิบัติกันดูนะคะ